ประจำเดือนมักเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยพูดถึงกันในที่โล่งแจ้ง หากแต่ประจำเดือนนั้นสามารถบ่งบอกหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับสุขภาพของเรา
1. อาการเจ็บปวดประจำเดือน
เกิดขึ้นจากการหลุดลอกของเยื่อบุมดลูกระหว่างมีประจำเดือนและการหลั่งของฮอร์โมน Prostaglandin อย่างไรก็ดีอาหารปวดท้องน้อยมากจนทำอะไรไม่ได้นั้นอาจบ่งบอกว่าร่างกายมีปัญหาสุขภาพ เช่น มีเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เมื่อเนื้อเยื่อหลุดลอกออกร่างกายจึงไม่สามารถกำจัดออกได้ทำให้เลือดคั่งอยู่ภายในช่องท้อง ผู้หญิงประมาณร้อยละ 7-10 เป็นโรคนี้
2. สีของประจำเดือน
ผู้หญิงส่วนใหญ่จะพบว่าสีของประจำเดือนมี 3 ลักษณะสีและสัมผัสดังนี้ บลูเบอร์รี่แช่แข็งบดละเอียดมักบ่งบอกว่ามีระดับฮอร์โมนเอสโตเจนสูงประจำเดือนปริมาณมาก แยมสตรอเบอร์รี่หรือสีชมพูบ่งบอกว่ามีระดับฮอร์โมนต่ำมากซึ่งอาจทำให้อวัยวะเพศแห้ง ความต้องการทางเพศลดลง ผมร่วง เหนื่อยง่าย ประจำเดือนมาปริมาณที่น้อย เป็น ๆ หาย ๆ หรือมาช้า ประจำเดือนสีแดงสด นำ้ผลไม้แครนเบอรี่ เป็นลักษณะของประจำเดือนที่ปกติของวงจรปกติในระยะเวลาที่ปกติ
อย่างไรก็ดีผู้ที่มีประจำเดือนลักษณะนี้ควรระวังอาการ PMS (กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน) คนส่วนใหญ่คิดว่าอาการปวดประจำเดือน PMS เป็นสิ่งปกติแต่จริง ๆ แล้วอาการดังกล่าวอาจบ่งบอกถึงความไม่สมดุลย์ของฮอร์โมน
3. ปริมาณของประจำเดือน
ปกติแล้วประจำเดือนมีปริมาณน้อยกว่า 1 ถ้วยตวง หากมีปริมาณมากอาจทำให้เกิดภาวะเลือดจางหรือเนื้องอกทำให้มีบุตรยาก มีพังผืดผนังมดลูก ติ่งเนื้อ ก้อนเนื้องอกที่ปากมดหรือมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ พบมากในผู้หญิงที่อายุมากว่า 35 ปี ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มีประจำเดือนมากกว่าปกติมักมีอาการปวดท้องร่วมด้วยทำให้การใช้ชีวิตประจำวันลำบากขึ้นเนื่อจากอาการปวดท้องที่รุนแรง ส่วนผู้หญิงที่ประจำเดือนน้อยกว่าปกติอาจเนื่องมาจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ภาวะขาดอาหาร เครียด มักเกิดขึ้นในผู้หญิงวัยทองหรือผู้ที่ใช้ยาคุม หรืออาจเป็นอาการที่บ่งบอกว่าเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง มีติ่งเนื้อในรังไข่ หรือเป็นโรค Asherman’s syndrome
4. ความถี่ของประจำเดือน
Mayo Clinic กล่าวว่าปกติแล้ววงจรของประจำเดือนจะอยู่ที่ 21-35 วันและมีระยะเวลาที่ 2-7 วัน วงจรจะสั้นลงและมีความปกติขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น การที่ประจำเดือนมาไม่ตรงนั้นอาจเนื่องมาจากน้ำหนักตัวที่ลดลงมากเกินไป ความเครียด การตั้งครรภ์ การใช้ยาบางประเภท การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณที่มากเกินไป จริง ๆ แล้วไม่แปลกที่ประจำเดือนจะมาไม่ตรงกันทุกเดือนบ้างแต่ก็ควรปรึกษาแพทย์
5. มีเลือดออกหลังจากหมดประจำเดือน
พบบ่อยในผู้ญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิด มีเลือดออกปรอย ๆ และอาการปวดท้องร่วมด้วย แต่ในกรณีผู้ที่ไม่ได้ใช้ยาคุมกำเนิดและมีอาการดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ทันที เนื่องจากอาการดังกล่าวอาจบ่งบอกว่าเป็นมะเร็งหรืออาการก่อนมะเร็งหรือมีการติดเชื้อของอวัยวะเพศ ฮอร์โนมไม่สมดุลย์