ปัสสาวะเป็นเลือด

ปัสสาวะเป็นเลือด คือ การที่มีเม็ดเลือดแดงปนออกมาในปัสสาวะจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยอาจมองเห็นปัสสาวะเป็นเลือดสด เป็นสีแดงจางๆ สีชมพู หรือสีดำคล้ำคล้ายสีโค้ก  ซึ่งการที่มีเลือดออกในทางเดินปัสสาวะนั้นถือเป็นสัญญาณเตือนของภาวะผิดปกติต่างๆ ทั้งโรคที่ร้ายแรงและไม่ร้ายแรง ดังนั้นหากมีภาวะดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุให้เร็วที่สุด

การมีปริมาณเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะมากกว่าเท่ากับ 3 เซลล์ขึ้นไป เมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ขนาดกำลังขยายปานกลาง (HPF) โดยการวินิจฉัยที่ถูกต้องนั้นต้องพบความปกติดังกล่าวจากการเก็บปัสสาวะอย่างน้อย 2 ใน 3 ครั้ง ของการเก็บปัสสาวะส่งตรวจ โดยการเก็บปัสสาวะจะต้องเก็บอย่างถูกต้องตามวิธีข้างต้น 

จะเห็นได้ว่าในการตรวจครั้งแรกหากมีผลผิดปกติ ผู้ป่วยยังไม่ควรมีความกังวลไปก่อน เนื่องจากหากมีภาวะติดเชื้อ มีไข้ ได้รับอุบัติเหตุ หรือหลังออกกำลังกายอย่างหนัก อาจทำให้มีเม็ดเลือดแดงหลุดออกมาในปัสสาวะได้มากกว่าในสภาวะปกติ แต่เมื่อปัจจัยดังกล่าวหมดไป การตรวจปัสสาวะซ้ำในครั้งถัด ๆ ไปผลก็จะกลับมาเป็นปกติดังเดิม ดังนั้นควรมาตรวจซ้ำอีก 2 ครั้งตามแพทย์นัดเพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่ถูกต้องชัดเจนต่อไป 

***ปริมาณเม็ดเลือดแดงที่ออกมาในปัสสาวะนั้น หากมีปริมาณไม่มากอาจไม่เห็นปัสสาวะเป็นสีแดง แต่ถ้าหากมีปริมาณมากจะทำให้เห็นปัสสาวะเป็นสีแดงหรือสีน้ำตาลได้ มีการประมาณว่าเลือดเพียง 1 ซีซีที่ออกมาในปัสสาวะสามารถทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดงได้

สาเหตุ ปัสสาวะเป็นเลือด

อาการ ปัสสาวะเป็นเลือด

ผู้ป่วยจะมีอาการ คือ ปัสสาวะเปลี่ยนสี ส่วนมากมักไม่มีอาการปวดร่วมด้วย สีที่เปลี่ยนอาจเป็นสีแดง สีชมพู สีเข้มเหมือนน้ำปลาหรือน้ำโค้ก สีที่เปลี่ยนเกิดจากการที่มีเม็ดเลือดแดงปนอยู่ในปัสสาวะ การที่เห็นปัสสาวะเป็นสีแดงไม่ได้หมายความว่ามีเลือดออกเป็นจำนวนมาก เพราะปริมาณเม็ดเลือดแดงเพียงเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนสีปัสสาวะให้ผิดปกติได้

ปัสสาวะที่มีสีแดงไม่จำเป็นต้องเกิดจากภาวะเลือดออกในทางเดินปัสสาวะเสมอไป สีในอาหารจำนวนมากโดยเฉพาะสีผสมอาหาร รวมทั้งสีย้อมผ้าที่ถูกพ่อค้าแม่ค้านำไปผสมอาหาร จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ คนที่กินอาหารหรือขนมผสมสีแดงเข้าไปมากๆ จะปัสสาวะออกมาเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน แต่สีแดงเหล่านี้ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามันไม่ใช่สีเลือด อาจจะเป็นสีแดงแสด แดงส้ม หรือแดงอื่นๆ ยาบางชนิดก็ผสมสีไว้เหมือนกัน ถ้ากินเข้าไปแล้วก็จะทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดงได้ ดังนั้น ถ้ากินยาหรืออาหารและขนมที่มีสีแดงแล้วปัสสาวะเป็นสีแดงก็อย่าวิตกกังวลอะไร หยุดยาและอาหารหรือขนมนั้นและอาการปัสสาวะสีแดงมักจะหายไปภายในเวลา 1-3 วัน

การรักษา ปัสสาวะเป็นเลือด

เนื่องจากไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะสำหรับปัสสาวะเป็นเลือด แพทย์จึงมุ่งเน้นการรักษาตามอาการ ตัวอย่างเช่น ให้ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ ใช้ยารักษาโรคต่อมลูกหมากโต หรือการทำลายนิ่วในไตหรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะด้วยคลื่นกระแทก (Shock Wave Therapy) แต่หากไม่ใช่สาเหตุรุนแรงก็ไม่จำเป็นต้องทำการรักษา

ตัวอย่างการรักษาที่สาเหตุของการปัสสาวะเป็นเลือด

  • การบาดเจ็บที่ไตหรือทางเดินปัสสาวะ การรักษาจะขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของอาการบาดเจ็บที่ได้รับ ถ้าได้รับบาดเจ็บที่รุนแรงมากก็อาจมีความจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด
  • เนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะหรือไต การรักษาจะต้องพิจารณาตามระยะของอาการและปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุ สุขภาพโดยรวม และความต้องการของผู้ป่วยเอง โดยมีประเภทของการรักษา ได้แก่ การผ่าตัด เคมีบำบัด (Chemotherapy) รักษาด้วยรังสี (Radiation Therapy) หรือภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
  • ไตอักเสบ (Glomerulonephritis) แพทย์อาจรักษาด้วยยาขับปัสสาวะ (Diuretics) ยาควบคุมความดันโลหิต และปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารเพื่อไม่ให้ไตทำงานหนัก ส่วนเด็กที่เป็นไตอักเสบจากการติดเชื้อสเตรปโคคอคคัส (Streptococcal) อาจใช้เพียงแค่ยาปฏิชีวนะเท่านั้น หรือหากมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน เช่น ลูปัส (Lupus) แพทย์ก็จะให้ยากดภูมิคุ้มกัน
  • ภาวะเลือดออกผิดปกติ แพทย์จะรักษาไปตามประเภทของภาวะนี้ เช่น ผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) ก็สามารถรักษาด้วยการฉีดยาที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด

สำหรับผู้ป่วยที่ปัสสาวะเป็นเลือดจากการออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องทำการรักษา แต่ควรระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนักเกินไป และสำหรับปัสสาวะเป็นเลือดที่เกิดจากการใช้ยารักษาโรค แพทย์ก็จะให้หยุดใช้ยาและให้ใช้ยาอื่นทดแทน ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

[Total: 0 Average: 0]