โรงพยาบาลเอกชนเกิดขึ้นมาเพราะความจำ เป็นที่โรงพยาบาลของรัฐ
ไม่สามารถให้บริการรักษาพยาบาลได้อย่างเพียงพอ
จากเดิมที่โรงพยาบาลเอกชนจะมีขนาดเล็ก แพทย์เป็นเจ้าของคนเดียว
บริหารแบบครอบครัว แพทย์และบุคลากรด้านสุขภาพทำ งานนอกเวลา
ให้บริการรักษาพยาบาลเพียงบางอย่างบางเวลา ไม่มีระบบควบคุมคุณภาพ
ปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนได้มีการพัฒนาจนกลายเป็นกิจการขนาดใหญ่
เจ้าของเป็นมหาชน บริหารแบบมืออาขีพ แพทย์และบุคลากรด้านสุขภาพ
ทำ งานเต็มเวลา สามารถให้บริการรักษาพยาบาลโรคเฉพาะทางตลอด 24 ชั่วโมง
มีการฝึกอบรมและผลิตบุคลากร มีการวิจัยทางคลินิก
และได้รับมาตรฐานนานาชาต
ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชน 321 แห่ง มีเตียงให้บริการรวม 32,828 เตียง โดยมีการจ้างงาน
ประมาณ 200,000 คน ก่อให้เกิดรายได้ในอุตสาหกรรมประมาณ 150,000 ล้านบาทต่อปี ให้
บริการผู้ใช้บริการประมาณ 55 ล้านครั้ง/ปี มีชาวต่างชาติที่ตั้งใจมารักษา 1.5 ล้านครั้งจาก
200 ประเทศทั่วโลก มีสัดส่วนของทรัพยากรหรือการให้บริการประมาณ 25-30%ของประเทศ
โรงพยาบาลเอกชนเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง ผู้มีประกัน
สุขภาพเอกชน หรือ ผู้ประกันตนของกองทุนประกันสังคม โรงพยาบาลเอกชนเป็นผู้มีส่วนสำคัญ
ในระบบบริการสาธารณสุข ยิ่งในระยะ 10 ปีหลัง ผลงานและชื่อเสียงกระจายไปทั่วโลกจนมีชาว
ต่างชาติมาใช้บริการ โรงพยาบาลเอกชนจึงกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อระบบบริการสุขภาพ
และการพัฒนาของประเทศที่ไม่ต้องใช้เงินรัฐจากภาษีอาการ
โรงพยาบาลเอกชนต่อเศรษฐกิจประเทศ
- ให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ
โรงพยาบาลเอกชนจะเน้นบริการรักษาพยาบาลที่สะดวกรวดเร็วและมีคุณภาพ ปัจจุบันมี
โรงพยาบาลเอกชนได้รับมาตรฐานประเทศไทย HA (Hospital Accredited) จำ นวนมาก
และ มาตรฐานนานาชาติ JCI Accredited Organizations กว่า20แห่ง ในขณะที่ยังไม่มีโรง
พยาบาลของรัฐได้รับมาตรฐานนานาชาติ JCI เลย บริการที่สะดวกรวดเร็วและมีคุณภาพของ
โรงพยาบาลเอกชนสามารถดึงดูดผู้ป่วยใช้บริการปีละประมาณ 55 ล้านครั้ง ทั้งๆมีผู้ป่วยมีทาง
เลือกที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายถ้าเลือกไปใช้จากโรงพยาบาลของรัฐ รวมทั้งกรณีกองทุนประกัน
สังคมก็ปรากฏว่า ผู้ประกันตนก็เลือกโรงพยาบาลเอกชนเป็นโรงพยาบาลต้นสังกัดมากกว่าโรง
พยาบาลของรัฐ ทั้งๆที่โรงพยาบาลเอกชนมีจำ นวนน้อยกว่าภาครัฐ - รายได้และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ โรงพยาบาลเอกชนมีรายได้รวม 80,654.7 ล้านบาท (การสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2549) สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม 28,296.7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35% ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ปัจจุบันคาดว่าโรงพยาบาลเอกชนมีรายได้ประมาณ 150,000 ล้านบาทต่อปี
- เกิดการจ้างงานและรายได้สู่ครัวเรือน
โรงพยาบาลเอกชนมีการจ้างงาน 141,699 คน (การสำ รวจ
ของสำ นักสถิติแห่งชาติพ.ศ. 2549) เป็นพนักงานเต็มเวลา
107,509 คน (75.9%) เป็นบุคลากรด้านสุขภาพ 74.4 %
เป็นบุคลากรอื่น 25.6% จ่ายค่าจ้างบุคลากร 22,690.5
ล้านบาท นอกจากนี้เป็นแหล่งรายได้เพิ่มแก่บุคลากรด้าน
สุขภาพของรัฐที่ใช้เวลานอกราชการมาทำ งานประมาณ
40,000 คน ปัจจุบันคาดว่าโรงพยาบาลเอกชนมีการจ้างงาน
จำ นวนประมาณกว่า 200,000 คนขึ้นไป - ส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
โรงพยาบาลเอกชนมีรายจ่าย (ไม่รวมค่าจ้างพนักงาน)
39,730 ล้านบาท (การสำ รวจของสำ นักงานสถิติแห่งชาติ
พ.ศ.2549) เป็นค่ายา/เวชภัณฑ์19,122ล้านบาท ค่าอาหาร
1,141 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ให้แก่อุตสาหกรรม
เกี่ยวข้องอื่นๆ - การลงทุนภาคเอกชนช่วยลดภาระการลงทุนของรัฐ
โรงพยาบาลเอกชนมีค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ถาวร 6,648.5
ล้านบาท (การสำรวจของสำ นักงานสถิติแห่งชาติพ.ศ. 2549)
ค่าเสื่อมราคานี้ สะท้อนรายจ่ายเงินลงทุนของเอกชนที่จ่าย
ไปแต่ละปี ถ้าจะให้บริการประชาชนได้จำ นวนเท่าเดิมโดย
ไม่มีเงินก้อนนี้จากการลงทุนเอกชน จะต้องใช้เงินลงทุน
จากรัฐมาทดแทน จึงเท่ากับเป็นการช่วยลดภาระการลงทุน
ของรัฐปีละ 6,648.8 ล้าน ถ้า 10 ปีก็จะเป็นเงินมากกว่า
66,488 ล้านบาท - ช่วยสนับสนุนโครงการ/ นโยบายสุขภาพของรัฐบาล
รัฐบาลมีโครงการนโยบายรักษาพยาบาลต่างๆ ซึ่งได้รับการ
สนับสนุนเข้าร่วมโครงการจากโรงพยาบาลเอกชนเป็นอย่าง
ดีเยี่ยม
โลกที่เปลี่ยนไป
โรงพยาบาลเอกชน
จะช่วยพัฒนา
ระบบสุขภาพอย่างไร
โลกาภิวัฒน์
และการเปลี่ยนแปลง
ในสังคมมีผลต่อ
แนวคิดนโยบาย
วิธีดำ เนินงานอย่างมาก
ภายใต้ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมโรงพยาบาลเอกชนเป็น
ธุรกิจที่ดีต่อประชาชนผู้เจ็บป่วย เป็นทางเลือกแรกของ
ประชาชนผู้จ่ายเงินค่ารักษาด้วยตนเอง มีการจ้างงานจำนวน
มาก เกิดรายได้จากอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เกิดการผลิต
บุคลากรสุขภาพ การลงทุนภาคเอกชนช่วยลดภาระการลงทุน
ของรัฐ ในระยะหลังนำรายได้เข้าประเทศจากบริการชาว
ต่างประเทศเหมือนอุตสาหกรรมส่งออกอื่นๆ โรงพยาบาล
เอกชนก่อให้เกิดรายได้เป็นภาษีทางตรงและทางอ้อมให้แก่
รัฐเป็นจำนวนมาก กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อระบบ
บริการสุขภาพและการพัฒนาของประเทศที่ไม่ต้องใช้เงิน
รัฐจากภาษีอาการ จึงเป็นธุรกิจที่รัฐพึงให้การส่งเสริมอย่าง
ยิ่งในทุกด้านให้มีสัดส่วนมากกว่าภาครัฐในอนาคต จะทำ
ให้รัฐลดภาระค่าใช้จ่ายลง ประชาชนได้รับบริการที่ดีและมี
ประสิทธิภาพ รัฐบาลจะได้รับการสรรเสริญตลอดไป