การส่องกล้องตรวจทางนรีเวช (Gynecologic laparoscopy) โดยการใส่กล้องโทรทรรศน์หรือ Small fiber optic telescope (laparoscope) ผ่านหนังหน้าท้องด้านบน เทคนิคการผ่าตัดนี้อาจใช้วินิจฉัยเพื่อตรวจหาความผิดปกติต่าง ๆ เช่น ถุงน้ำ (cysts) พังผืด (adhesions) เนื้องอก (fibroids) การติดเชื้อ หรืออาจใช้เพื่อรักษา เช่น สลายพังผืด ตัดชิ้นเนื้อรังไข่ ทำหมัน เอาครรภ์นอกมดลูกออก เอาพังผืดออก เอาน้ำในปีกมดลูกออก และเอาสิ่งแปลกปลอมออก
การใช้กล้องตรวจช่องท้อง (laparoscopy) อาจเสี่ยงต่อการแทงถูกอวัยวะ ภายในช่องท้อง ทำให้มีเลือดออก หรือทำให้สิ่งที่อยู่ภายในลำไส้ทะลักเข้าไปในเยื่อบุช่องท้อง
วัตถุประสงค์ การส่องกล้องตรวจทางนรีเวช
- เพื่อหาสาเหตุของอาการปวดในอุ้งเชิงกราน
- ช่วยชี้ขาดว่าเป็น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) ท้องนอกมดลูก (ectopic pregnancy) และมีการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (pelvic inflammatory disease; PID) หรือไม่
- เพื่อประเมินผู้ป่วยที่เป็นหมันว่าเกิดจากมีก้อนในอุ้งเชิงกราน หรือมีก้อนในท่อนำไข่ (fallopian tubes)
- เพื่อดูระยะของมะเร็ง
การเตรียมผู้ป่วย การส่องกล้องตรวจทางนรีเวช
- บอกผู้ป่วยว่าการตรวจนี้ใช้บ่งบอกความผิดปกติของมดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่
- บอกผู้ป่วยว่าต้องงดน้ำงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนตรวจ
- บอกวิธีการตรวจ สถานที่ตรวจแก่ผู้ป่วย
- บอกผู้ป่วยว่าจะได้รับยาชาเฉพาะที่หรืออาจต้องดมยาสลบ
- บอกผู้ป่วยว่าอาจรู้สึกเจ็บบริเวณที่มีการเจา
- ให้ผู้ป่วยหรือญาติเซ็นใบยินยอมรับการตรวจรักษาก่อนตรวจ
- ตรวจสอบประวัติของผู้ป่วยเกี่ยวกับการแพ้ยา และตรวจสอบว่าผู้ป่วยแพ้ยาชาที่ต้องใช้สำหรับการตรวจนี้หรือไม่
- ต้องแน่ใจว่าผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ จะเสร็จสมบูรณ์ก่อนการส่องกล้องตรวจในครั้งนี้
- บอกผู้ป่วยให้ถ่ายปัสสาวะก่อนการตรวจ
การตรวจและการดูแลภายหลังตรวจ การส่องกล้องตรวจทางนรีเวช
- ผู้ป่วยที่ต้องดมยาสลบ ต้องจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหงาย พาดเท้าบนขาหยั่ง (lithotomy position)
- ผู้ตรวจใส่สายสวนในกระเพาะปัสสาวะให้ผู้ป่วย และตรวจบริเวณช่องเชิงกรานแบบใช้ 2 มือ (bimanual) เพื่อตรวจดูความผิดปกติที่อาจเป็นข้อห้ามตรวจ และเพื่อให้แน่ใจว่ากระเพาะปัสสาวะก่อนการตรวจ
- ใส่เครื่องมือที่มีชื่อเรียกว่า ทีนาคูลัม (tenaculum) เข้าไปในปากช่องคลอด (cervix) เพื่อจับปากมดลูก และใส่เครื่องโยงมดลูก (uterine manipulator) ลงมีดกรีด (incision) ที่เหนือสะดือหรือรอบ ๆ สะดือ
- ใส่เข็ม veress แทงเข้าไปในช่องท้อง และใส่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide; CO2) หรือไนตรัสออกไซด์ (nitrous oxide) เพื่อให้ก๊าซช่วยดันผนังช่องท้องออกและช่วยดันอวัยวะไม่ให้ถูกกับโทรคา (trocar) เข็มและชื้ท (sheath) ที่ใส่เข้าไปในช่องท้อง (peritoneal cavity)
- หลังจากเอาโทรคาออกแล้ว ให้ใส่กล้องเข้าทางหน้าท้อง ผ่านชี้ทเพื่อตรวจดูกระดูกเชิงกรานและช่องท้อง
- เพื่อประเมินว่าท่อนำไข่อุดตันหรือไม่ ตรวจโดยการใส่สีเข้าทางช่องคลอดและสังเกตดูว่ามีการรั่วไหลออกมาทางท่อนำไข่หรือไม่
- หลังจากตรวจแล้ว อาจตัดชิ้นเนื้อรังไข่ไปตรวจต่อไป
- ตรวจสอบและติดตามผลการเปลี่ยนแปลง อย่างต่อเนื่องของสัญญาณชีพและตรวจปัสสาวะ บันทึกการเปลี่ยนแปลงทันที ซึ่งช่วยประเมินว่ามีภาวะแทรกซ้อน หรือไม่
- ตรวจสอบและติดตามผลการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับปฏิกิริยา การแพ้ยาหลังจากให้ยาสลบ ติดตามสมดุลอิเล็กโทรไลต์ ระดับฮีโมโกลบิน และฮีมา โตคริตของผู้ป่วย ช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกายหลังจากผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัว
- บอกผู้ป่วยให้จำกัดการเคลื่อนไหว 2 – 7 วันตามความจำเป็น
- บอกผู้ป่วยว่าจะมีอาการปวดท้องและปวดไหล่ได้ซึ่งเป็นอาการที่พบได้เป็นปกติ แต่จะหายไปภายใน 24 – 36 ชั่วโมง
- ให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา และติดตามผลการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ข้อควรระวัง การส่องกล้องตรวจทางนรีเวช
- ใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง (Laparoscopy) ห้ามทำในผู้ป่วยที่มีมะเร็งที่ผนังหน้าท้อง โรคปอดหรือโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease) ลำไส้อุดตัน (Intestinal obstruction) คลำพบก้อนในช่องท้อง มีไส้เลื่อนขนาดใหญ่ในช่องท้อง เป็นวัณโรคเรื้อรัง (Chronic tuberculosis) หรือผู้ป่วยมีประวัติเคยมีการอักเสบ ในช่องท้อง (Peritonitis)
- ระหว่างการตรวจ ให้ตรวจสอบการไหลของปัสสาวะทางสายสวนปัสสาวะด้วย
ผลการตรวจที่เป็นปกติ
มดลูกและท่อนำไข่มีขนาดรูปร่างผิดปกติ ไม่มีพังผืด และเคลื่อนไปมาได้ ไข่มีขาดและรูปร่างปกติ ไม่พบถุงน้ำและโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ สีที่ฉีดเข้าไปผ่านทางช่องคลอดไหลผ่านอย่างอิสระ
ผลการตรวจที่ผิดปกติ
พบโรคถุงน้ำในรังไข่ (Ovarian cyst) เหมือนฟองอากาศบนผิวของรังไข่ ลักษณะของถุงน้ำอาจใสภายในอาจเป็นน้ำ น้ำเหลือง หรือเป็นเมือก หรือถ้าภายในถุงน้ำเป็นเลือดอาจมีสีแดง น้ำเงิน หรือน้ำตาล นอกจากนี้อาจมีลักษณะเป็นพังผืดหนา
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ มีสีน้ำเงินบนเยื่อบุช่องท้อง หรือซีโรซ่า (serosa) ของเชิงกรานข้างใดข้างหนึ่งหรือภายในช่องท้องพบเนื้องอก (fibroids) เป็นก้อนบนมดลูก มีการโป่งพองของท่อรังไข่เกิดจากการติดเชื้อทำให้มีการอักเสบ ท่อนำไข่มีขนาดใหญ่ ตั้งครรภ์นอกมดลูกท่อนำไข่ปริออก อุ้งเชิงกรานอักเสบ มีการติดเชื้อหรือ เป็นฝี