การเจาะโพรงเยื่อหุ้มปอด (Thoracentesis)

เป็นการใช้เข็มเจาะผ่านผนังทรวงอกเข้าไปในช่องเยื่อหุ้มปอดที่อยู่ระหว่างช่องกระดูกซี่โครงที่ 6-7 หรือ 7-8 เพื่อระบายเอาของเหลว อากาศหรือเลือดออกมา เพื่อให้ปอดขยายตัวได้ดีขึ้น

ข้อบ่งชี้

1. เพื่อ นำสารน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดมาทำการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ

2. เพื่อระบายสารน้ำออก สำหรับ บรรเทาอาการหอบเหนื่อย ใน ผู้ป่วยที่มีสารน้ำ ในโพรงเยื่อหุ้มปอด จำนวนมาก

3. เพื่อระบายลมออกสำหรับผู้ป่วยที่มี ภาวะโพรงเยื่อหุ้มปอดมีอากาศ (pneumothorax)

ข้อห้าม

1. สารน้ำ ในโพรงเยื่อหุ้มปอด มีปริมาณน้อย ( โดยการถ่ายภาพรังสีทรวงอกในท่าตะแคงด้านที่มีสารน้ำลง และพบขอบของ
สารน้ำห่างจากขอบในของกระดูกซี่โครงไม่ถึง 10 มม . แต่ถ้าอยู่ระหว่าง 10 -15 มม . อาจใช้เครื่องตรวจด้วยคลื่นเสียงช่วย
ในการเจาะได้ )

2. ผู้ป่วยมี ภาวะเลือดออก ผิดปรกติ ที่รุนแรง

3. ผู้ป่วย ใช้ เครื่อง ช่วยหายใจ ( ไม่เป็นข้อห้ามตายตัว ถ้าจำเป็นให้เจาะด้วยความระมัดระวังและเตรียม พร้อม แก้ไข ในกรณีเกิด
ภาวะ โพรงเยื่อหุ้มปอดมีอากาศ)

4. มีการติดเชื้อรุนแรงผิวหนังบริเวณที่จะทำการเจาะ

อุปกรณ์

• Povidone iodine ผ้าเจาะกลาง สำลี ผ้ากอซ พลาสเตอร์ ถุงมือปลอดเชื้อ ยาชาพร้อมเข็มและกระบอกฉีดยา

• เข็มฉีดยาขนาด 18 หรือ 20 G ยาว 1.5 นิ้ว กระบอกฉีดยาขนาด 20 มล . หรือ 50 มล . สำหรับใช้เจาะ

• Three-way stopcock และสายยางยาวสำหรับต่อระบายลงขวด ถ้าไม่มีให้ใช้ชุดให้น้ำเกลือแทนโดยตัดสายตรงด้าน
กระเปาะที่จะแทงเข้าขวดน้ำเกลือออกแล้วต่อปลายด้านนั้นลงขวด ส่วนด้านที่จะต่อน้ำเกลือเข้ากับผู้ป่วยให้ต่อเข้ากับ three-
way stopcock

• ขวดสำหรับเก็บสารน้ำส่งตรวจ

วิธีการ

1. ในกรณีที่มีสารน้ำเป็นจำนวนมากและไม่อยู่กับที่ (free fluid) จัดท่าให้ผู้ป่วยนั่งฟุบหน้าลงและวางแขนคร่อมบนโต๊ะขวางเตียง
โดยผู้ทำการเจาะอยู่ด้านหลังของผู้ป่วย ถ้าเป็นสารน้ำที่อยู่กับที่ (loculated fluid) ให้จัดท่า และเลือกตำแหน่งที่เจาะตามการ
ตรวจพบ ในกรณีเจาะโพรงเยื่อหุ้มปอดเพื่อระบายอากาศ ให้ผู้ป่วยนอนหงายหัวสูงและยกมือข้างนั้นพาดศีรษะ

2. หาตำแหน่งช่องซี่โครงที่จะทำการเจาะ สำหรับสารน้ำให้ดูจากภาพรังสีทรวงอก และเคาะดูบริเวณที่เริ่มเคาะทึบ แล้วเลื่อนต่ำ
ลง ไปอย่างน้อย 1 ช่องซี่โครง เลือกจุดที่จะเจาะให้อยู่กึ่งกลางระหว่าง posterior axillary line กับ spinous process
ในกรณีเจาะระบายอากาศเลือกทำที่ช่องซี่โครงที่ 3 ทางด้านหน้า

3. ใส่ถุงมือปลอดเชื้อและเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์ ทำความสะอาดผิวหนังและปูผ้าเจาะกลางบริเวณที่เจาะ แล้วให้ผู้ช่วยยึด
ตรึงขอบบนของผ้าด้วยพลาสเตอร์เข้ากับเสื้อผ้าผู้ป่วย

4. ฉีดยาชาเข้าผิวหนังตำแหน่งที่จะเจาะและค่อยๆ ดันเข็มลึกเข้าไปพร้อมกับฉีดยาเรื่อยๆ ก่อนที่จะฉีดยาทุกครั้งให้ออกแรงดูด
เบาๆเพื่อให้แน่ใจว่าปลายเข็มฉีดยาไม่ได้อยู่ในหลอดเลือด ให้ปลายเข็มชิดกับขอบบนของกระดูกซี่โครงซี่ล่าง ใช้ยาชาประมาณ
3-5 มล . เมื่อรู้สึกผ่านแรงต้านบริเวณเยื่อหุ้มปอดไปแล้ว ให้ออกแรงดูดจนได้สารน้ำหรืออากาศเข้ามาในกระบอกฉีด – ยาชา
ประมาณความลึกของตำแหน่งที่เจาะดูดแล้วถอนกระบอกฉีดยาชาพร้อมเข็มออก

5. สวมเข็มขนาด 18 G เข้ากับ three-way stopcock แล้วนำไปต่อเข้ากับกระบอกฉีดยาขนาด 20 มล. ต่อสายยางเข้ากับ
ปลาย ที่เหลือของ three-way stopcock โดยให้ปลายสายอยู่ต่ำกว่าตำแหน่งที่เจาะ

6. แทงเข็มในแนวตั้งฉากกับบริเวณที่ฉีดยาชาจนลึกถึงตำแหน่งที่ประมาณไว้เดิม ระวังไม่ให้เลือดที่ออกจากการฉีดยาชาปนเปื้อน
ขณะแทง เพราะอาจจะมีผลต่อการวิเคราะห์สารน้ำที่ได้ เมื่อรู้สึกว่าเข็มผ่านเยื่อหุ้มปอดแล้ว ให้หาตำแหน่งที่สามารถ ดูดสารน้ำ
หรืออากาศไหลเข้ามาในกระบอกฉีดยาได้อย่างสม่ำเสมอแล้วตรึงตำแหน่งเข็มไว้ให้คงที่ ดูดสารน้ำ หรืออากาศจนเต็มกระบอก
ฉีดยา ปรับทิศทาง three-way stopcock เพื่อดันสารน้ำหรืออากาศจากกระบอกฉีดยาลงสู่ขวด ถ้าต้องการระบายสารน้ำ
หรืออากาศออกมากให้เปลี่ยนเป็นกระบอกฉีดยาขนาด 50 มล . ทำซ้ำๆจนได้ปริมาณที่ต้องการ

7. ถอนเข็มออก กดห้ามเลือดด้วยสำลีแห้งปลอดเชื้อจนเลือดหยุด ปิดตำแหน่งที่เจาะด้วยผ้าก๊อซและพลาสเตอร์

ภาวะแทรกซ้อน

• ภาวะอากาศในโพรงเยื่อหุ้มปอด (pneumothorax) จากการฉีกขาดของเนื้อปอด

• ภาวะเลือดออกในโพรงเยื่อหุ้มปอดหรือผนังทรวงอกจากการฉีกขาดของหลอดเลือด

• ปอดบวมน้ำหลังขยายตัว (reexpansion pulmonary edema) เกิดจากการดูดสารน้ำออกไปเร็วหรือมากเกิน ป้องกันโดยเจาะสารน้ำออกครั้งละไม่เกิน 1 ลิตร และไม่เร็วกว่า 15 นาที

• อาการเป็นลมจาก vasovagal reflex ความกลัว หรือ ความเจ็บปวด

• ภาวะพร่องออกซิเจนจากการเจาะสารน้ำออกจำนวนมาก

• การติดเชื้อในโพรงเยื่อหุ้มปอด

• การตกเลือดในช่องท้องจากการเจาะเข้าช่องท้องทำให้มีการฉีกขาดของตับ หรือม้าม

[Total: 0 Average: 0]