ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย พบได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีอุบัติการณ์สูงในช่วงฤดูฝน (มิถุนายนถึงตุลาคม) และฤดูหนาว (มกราคมถึงมีนาคม) บางปีอาจพบมีการระบาดใหญ่
พบเป็นสาเหตุอันดับแรกๆ ของอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน แพทย์มักจะให้การวินิจฉัยผู้ใหญ่ที่มีอาการตัวร้อนมา 2-3 วัน โดยไม่มีอาการอย่างอื่นชัดเจนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะผิดพลาดได้
สาเหตุ ไข้หวัดใหญ่
เกิดจาก เชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่าไวรัสอินฟลูเอนซา (influenza virus) เชื้อนี้จัดอยู่ในกลุ่มไวรัส ที่เรียกว่า orthomyxovirus ไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ เอ บี และซี
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ มักก่อให้เกิดอาการรุนแรงอาจพบระบาดได้กว้างขวาง และสามารถกลายพันธุ์แตก แขนงเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ ได้ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดบี ก่อความรุนแรงและการระบาดของโรคได้น้อยกว่าเอ สามารถกลายพันธุ์ได้แต่ไม่มากเท่าชนิดเอ ส่วนไวรัส ไข้หวัดใหญ่ชนิดซี มักก่อให้เกิดอาการเพียงเล็กน้อยและ ไม่ค่อยพบระบาด
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สามารถพบได้ทั้งในคน และสัตว์ (ส่วนอีก 2 ชนิดพบเฉพาะในคนเท่านั้น) แบ่งเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ โดยมีชื่อเรียกตามชนิดของโปรตีน ที่พบบนผิวของเชื้อไวรัส โปรตีนดังกล่าวมีอยู่ 2 ชนิดได้แก่ ฮีแม็กกลูตินิน (hemagglutinin เรียกย่อว่า H) ซึ่ง มีอยู่ 16 ชนิดย่อย และนิวรามินิเดส (neuramimidase เรียกย่อว่า N) ซึ่งมีอยู่ 9 ชนิดย่อย ในการกำหนดชื่อ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ จึงใช้ตัวอักษร H ควบกับ N โดยมีตัวเลขกำกับท้ายอักษรแต่ละตัว ตามชนิดของ โปรตีน เช่น
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ H1N1(สายพันธุ์เก่า) เป็นต้นเหตุของการระบาดใหญ่ทั่วโลกในปี พ.ศ.2461- 2462 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนราว 20-40 ล้านคน เนื่องจากมีต้นตอจากสเปน จึงมีชื่อว่า ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish flu) และกลับมาระบาดใหญ่อีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.2520
เนื่องจากมีต้นตอจากรัสเซียจึงเรียกว่า ไข้หวัดใหญ่ รัสเซีย
ในปี พ.ศ.2552 มีการระบาดใหญ่ทั่วโลกของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 สายพันธุ์ใหม่ (สายพันธุ์ 2009) ซึ่งมีความรุนแรงกว่าสายพันธุ์เก่า มีต้นตอจากประเทศเม็กซิโก
• ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H2N2 เป็นต้นเหตุการระบาดของไข้หวัดใหญ่เอเชีย ในปี พ.ศ.2500-2501ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนราว 1 ล้านคน
• ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 เป็นต้นเหตุการระบาดของไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง ในปี พ.ศ. 2511-2512 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนราว 7 ล้านคน
• ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H5N1 เป็นต้นเหตุของไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีก หรือไข้หวัดนก
วิธีการแพร่เชื้อ เชื้อไข้หวัดใหญ่จะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย ตอดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่ แปดเปื้อนเชื้อ แบบเดียวกับไข้หวัด
นอกจากนี้ เชื้อไข้หวัดใหญ่ยังสามารถแพร่กระจาย ทางอากาศ (airborne transmission) กล่าวคือ เชื้อจะติด อยู่ในละอองฝอย ๆ เมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม เชื้อสามารถกระจายออกไประไกลและแขวนลอยอยู่ในอากาศได้ นาน เมื่อคนอื่นสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป โดยไม่จำเป็นต้องไอหรือจามรดใส่กันตรง ๆ ก็สามารถ ติดโรคนี้ได้ ดังนั้น โรคนี้จึงสามารถระบาดได้รวดเร็ว ระยะฟักตัว 1-4 วัน (ส่วนน้อยอาจนานเกิน 7วัน)
อาการ ไข้หวัดใหญ่
มักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการไข้สูง หนาว ๆ ร้อน ๆ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก (โดยเฉพาะที่กระ-เบนเหน็บ ต้นแขนต้นขา) ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ขมในคอ อาจมีอาการเจ็บในคอ คัดจมูก น้ำมูก ใส ไอแห้ง ๆ จุกแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน แต่บางรายก็อาจไม่มีอาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดเลยก็ได้ มีข้อสังเกตว่า ไข้หวัดใหญ่มักเป็นหวัดน้อย แต่ไข้หวัดน้อยมักเป็นหวัดมาก อาการไข้จะเป็นอยู่ประมาณ 1-7 วัน (ที่พบบ่อยคือ 3-5 วัน) อาการไอ และอ่อนเพลีย อาจเป็นอยู่ 1-4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่น ๆ จะทุเลาแล้วก็ตาม
บางรายเมื่อหายจากไข้หวัดใหญ่แล้วอาจมีอาการบ้านหมุน เนื่องจากอาการอักเสบของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน
ในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการแสดงของภาวะ แทรกซ้อน เช่น มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือสีเขียวปวดหู หูอื้อ หายใจหอบเหนื่อย เป็นต้น
สิ่งตรวจพบ ไข้หวัดใหญ่
ไข้ 38.5-40 องศาเซลเซียล หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจมีน้ำมูกใส คอแดงเล็กน้อยหรือไม่แดงเลย (ทั้ง ๆที่ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บคอ)
ส่วนมากมักตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่น ๆ ยก เว้นในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน ก็อาจตรวจพบอาการของภาวะแทรกซ้อน เช่น ฟังปอดได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation) ในผู้ที่เป็นปอดอักเสบ เสียงอึ๊ด (rhonchi) ในผู้ที่เป็นหลอดลมอักเสบ เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อน ไข้หวัดใหญ่
ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อน ที่พบได้บ่อยได้แก่ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบหูชั้นในอักเสบ หลอดลมอักเสบ หลอดลมพอง
ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ปอดอักเสบ ซึ่ง มักเกิดจากแบคทีเรียพวกนิวโมค็อกคัส หรือสแตฟี- โลค็อกคัส (เชื้อชนิดหลังนี้มักจะทำให้เป็นปอดอักเสบร้ายแรงถึงตายได้) บางรายก็อาจจะเกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) สมองอักเสบ หลอดเลือดดำอักเสบร่วม กับภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (thrombophlebitis) เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (เช่น ปอดอักเสบ) มักจะ เกิดในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 2 ขวบ) ผู้สูงอายุ (มากกว่า 65 ปี ) หญิงตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ผู้ที่สูบบุหรี่จัด คนอ้วน ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน โรค หืด โรคเรื้อรังทางปอดหรือหัวใจ ไตวายเรื้อรัง โรคตับเรื้อรัง ผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุมกันต่ำ
การรักษา ไข้หวัดใหญ่
- ให้การดูแลปฏิบัติตัว และรักษาตามอาการเหมือนไข้หวัด คือ นอนพักมาก ๆ ห้ามตราตรงาน หนัก ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง กิน อาหารอ่อน ๆ (ข้าวต้ม โจ๊ก) ดื่มน้ำและน้ำหวานหรือน้ำผลไม้มาก ๆ ให้ยาพาราเซตามอล ลดไข้แก้ปวด ผู้ ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพรินเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซิน - โดรมถ้าไอให้จิบน้ำผึ้งผสมมะนาว หรือยาแก้ไอ
- ยาปฏิชีวนะ ไม่จำเป็นต้องให้เพราะเป็นโรคที่ เกิดจากไวรัส จะให้ต่อเมื่อมีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อ แบคทีเรีย เช่น มีน้ำมูกหรือเสมหะสีเหลืองหรือเขียว ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลม อักเสบ เป็นต้น ยาปฏิชีวนะที่มีให้เลือกใช้ เช่น เพนิซิลลินวี อะม๊อกซีซิลลิน โคไตรม็อกซาโซล อีริโทรไมซิน หรือร็อกซิโทรไมซิน
- ถ้ามีไข้เกิน 7 วัน หรือมีอาการหอบ หรือสงสัยปอดอักเสบ โดยเฉพาะถ้าพบในผู้สูงอายุหรือเด็ก เล็ก ควรส่งโรงพยาบาลด่วน อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น ถ้าพบว่าเป็นปอดอักเสบ ก็ให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่ตรวจพบ
- ถ้ามีอาการรุนแรง หรือพบในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ สตรีตั้งครรภ์ ผู้ที่สูบบุหรี่จัด คนอ้วน ผู้ที่เจ็บป่วย เรื้อรัง หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ควรส่งปรึกษาแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัส เช่น อะแมนทาดีน (amantadine) ไรแมนทาดีน(rimanta-dine)ไรบาไวริน (ribavirin) สำหรับไข้หวัดใหญ่สาย พันธุ์เดิม โอเซลทามิเวียร์ (oseltamivir) ซามิเวียร์(zanimivir) สำหรับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ (2009)
- ถ้าสงสัยเป็นไข้หวัดนก เช่น มีประวัติ สัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายภายใน 7 วัน หรืออยู่ใน พื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วัน ควรส่ง ผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว
- ในการวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่ มักพิจารณาจากอาการแสดงเป็นส่วนใหญ่ ในรายที่สงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดร้ายแรง ไข้หวัดนก หรือสงสัยมีการระบาด แพทย์จำเป็นต้องทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจทางห้องปฏิบัติกา เช่น การตรวจนับเม็ดเลือด (อาจพบเม็ดเลือดขาวต่ำ) การทดสอบทางน้ำเหลือง (serologicTests) เพื่อหาระดับสารภูมิต้านทาน (แอนติบิดี) ต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ การตรวจหาเชื้อไวรัส**จากจมูกและ คอหอย เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนในการรักษาและป้องกันที่จำเพาะต่อชนิดของเชื้อก่อโรค