หัด คือ โรคที่มักพบในเด็กอายุ 2–14 ปี พบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มักไม่พบในทารกอายุต่ำกว่า 6 – 8 เดือน เนื่องจากยังมีภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากมารดาตั้งแต่อยู่ในครรภ์
โรคนี้สามารถติดต่อแพร่กระจายได้ง่าย พบได้ตลอดทั้งปี แต่มักมีอุบัติการณ์สูงในเดือนมกราคมถึงเมษายน อาจพบระบาดตามชุมชน โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก
สาเหตุ หัด
เกิดจาก เชื้อหัด ซึ่งเป็นไวรัส ที่ชื่อว่า ไวรัสรูบีโอลา (rubeola virus) ซึ่งมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ และปัสสาวะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อ นอกจากนี้ยังสามารถแพร่กระจายทางอากาศ(airborne transmission)ได้เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ จึงเป็นโรคที่สามารถระบาดได้รวดเร็ว เมื่อเชื้อเข้าไปสัมผัสเยื่อบุของโพรงจมูก เยื่อบุทาง เดินหายใจ หรือเยื่อบุตา ก็จะเกิดการแบ่งตัวภายในเยื่อบุแล้วเข้าสู่กระแสเลือด กระจายไปตามผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ และอวัยวะต่างๆ ระยะฟักตัว 9-11 วัน
อาการ หัด
มีอาการตัวร้อนขึ้นทันทีทันใด ในระยะแรกมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่ผิดกันตรงที่จะมีไข้สูงอยู่ตลอดเวลา กินยาลดไข้ก็ไม่ลด เด็กจะซึม กระสับกระส่าย ร้องงอแง เบื่ออาหาร มีน้ำมูกใส ๆ ไอแห้ง ๆ เป็นเสียงแค็ก ๆ น้ำตาไหล ตาแดง ไม่สู้แสง (จะหรี่ตาเมื่อถูกแสงสว่าง) หนังตาบวมตู่ อาจมีอาการถ่ายเหลวบ่อยครั้งเหมือนท้องเดิน ในระยะก่อนที่จะมีผื่นขึ้น หรืออาจชักจากไข้สูง
ลักษณะเฉพาะของหัด คือ มีผื่นขึ้นหลังจากมีไข้ 3-4 วัน หรือประมาณวันที่ 4 ของไข้ ลักษณะเป็นผื่นราบสีแดงขนาดเท่ากับหัวเข็มหมุด มักจะไม่คัน โดยผื่นจะเริ่มขึ้นที่ชายผม หน้าผาก หลังหู ใบหน้า และไล่ลงมาตามลำคอ หน้าอก แขน (และฝ่ามือ) ท้อง ขา (และฝ่าเท้า) ตามลำดับ จากหน้าถึงเท้าใช้เวลาทั้งสิ้น 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่หน้าและลำคอซึ่งขึ้นในวันแรกๆ จะแผ่มารวมกันเป็นแผ่นราบๆ สีแดงขนาดใหญ่ ทำให้เห็นได้ชัดกว่าบริเวณท่อนล่างของลำตัวที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงเล็กๆอยู่กระจายๆ หลังจากผื่นออกเต็มที่แล้วจะค่อยจางลงโดยไล่เรียงตามลำดับจากหน้าถึงเท้า ผื่นจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีคล้ำ หลังจากนั้นจะลอกเป็นแผ่นบาง ๆ และหายไปใน 7-10 วัน (บางรายอาจนานกว่า)
ส่วนอาการไข้จะขึ้นสูงสุดในวันที่มีผื่นขึ้น และจะมีต่อมาอีก 2-3 วันจนกระทั่งผื่นขึ้นที่เท้าไข้ก็จะลดลง และอาการอื่นๆ ก็จะทุเลาไปพร้อมกันรวมแล้วจะมีไข้อยู่นานประมาณ 1 สัปดาห์ ถ้าผื่นขึ้นถึงเท้าแล้วไข้ยังไม่ลดหรือลดแล้วกลับมากำเริบใหม่ มักบ่งบอกว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
สิ่งที่ตรวจพบ หัด
ไข้ 38.5-40.5 องศาเซลเซียล หน้าแดง ตาแดง หน้าตาบวมตู่ เปลือกตาแดง อาจตรวจพบต่อน้ำเหลืองโตที่หลังหูหลังคอ ท้ายทอย
ระยะ 2 วันหลังมีไข้ พบจุดสีขาวๆ เหลืองๆ ขนาดเล็กคล้ายเมล็ดงาที่กระพุ้งแก้มบริเวณใกล้ฟันกรามล่าง (ถ้าเป็นมากจะพบอยู่เต็มกระพุ้งแก้ม) เรียกว่า จุดค็อปลิก (Koplik’s spot) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของหัด
หลังไข้ขึ้น 3-4 วันจะพบผื่นขึ้นที่ชายผม หน้าผากหลังหู ใบหน้า ลำตัว แขนขา ผ่ามือ ผ่าเท้า
ปอดจะมีเสียงปกติ ยกเว้นถ้ามีโรคปอดอักเสบแทรกซ้อน เมื่อใช้เครื่องฟังตรวจปอดจะได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation)
ภาวะแทรกซ้อน หัด
ที่พบบ่อย คือ ปอดอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญของผู้ป่วยหัด ถ้าพบตั้งแต่ก่อนมีผื่นขึ้นหรือระยะที่เริ่มมีผื่นขึ้น มักเกิดจากไวรัสหัดเอง และหากพบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น เด็กขาดอาหารผู้ป่วยมะเร็งหรือเอดส์) หรือหญิงตั้งครรภ์ก็มักจะรุนแรงซึ่งอาจถึงตายได้ ถ้าพบในระยะหลัง ๆ ก็มักเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของเชื้อแบคทีเรีย
ที่พบบ่อยแต่รุนแรงไม่มาก ได้แก่ ท้องเดินจากไวรัส หูชั้นกลางอักเสบ จากแบคทีเรียแทรกซ้อน หลอดลมอักเสบ เยื่อบุตาขาวอักเสบ
ที่รุนแรงถึงตายหรือพิการ คือ สมองอักเสบ ซึ่งพบได้ประมาณ 1 ใน1,000-2,000 มักพบหลังผื่นขึ้น 2-6 วัน (แต่บางรายก็อาจพบก่อนผื่นขึ้น) ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ซึม ไม่รู้สึกตัว หรือชัก ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสตายประมาณร้อยละ 15 และพิการจากภาวะแทรกซ้อนทางสมองประมาณร้อยละ 25
นอกจากนี้ ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนดังต่อไปนี้
- หญิงตั้งครรภ์ ถ้าป่วยเป็นหัดในระยะแรกไตรมาสแรกอาจเสี่ยงต่อการแทงบุตร การตายคลอด (stillbirthหรือการคลอดทารกที่ตายในครรภ์) การคลอดก่อนกำหนด ความผิดปกติแต่กำเนินในทารก ทารกน้ำหนักน้อย
- ภูมิคุ้มกันลดลงชั่วคราว มีโอกาสติดเชื้ออื่น ๆ แทรกซ้อนได้ ที่สำคัญคือ วัณโรค อาจทำให้ผู้ที่มีเชื้อวัณโรคหลบซ่อนอยู่มีอาการกำเริบ หรือผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคอยู่ก่อน โรคก็จะรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้การทดสอบทุเบอร์คูลินให้ผลลบลวง (เป็นเวลานาน 2-6 สัปดาห์หลังเป็นหัด) ทำให้แปลผลได้ไม่แน่นอน
- ภาวะทุพโภชนาการจากอาการเบื่ออาหาร ท้องเดิน อาเจียนหรืองดอาหารโปรตีนที่เข้าใจว่าเป็นของแสลง
- อื่น ๆ เช่น ครู้ป หลอดลมฝอยอักเสบ ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ตับอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ กระจกตาอักเสบ(keratitis) ซึ่งอาจรุนแรงถึงทำให้ตาบอดได้ หูหนวก หูตึง ซึ่งอาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของสมองอักเสบหรือประสาทหูเสื่อมจากการติดเชื้อหัดที่แพร่กระจายไปตามกระแสเลือด เป็นต้น
การป้องกัน หัด
- โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน ในบ้านเราแนะนำให้ฉีดเข็มแรกเมื่อเด็กอายุได้ 9-12 เดือนและเข็มที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี ในกรณีที่มีการระบาดสามารถฉีดวัคซีนเข็มแรกตั้งแต่อายุ 6-9 เดือน และควรฉีดซ้ำอีก 2 ครั้ง เมื่ออายุ 12 เดือน และ 4-6 ปี วัคซีนป้องกันโรคหัดมีทั้งชนิดเดี่ยว (measles vaccine) และวัคซีนรวมป้องกันหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน ที่มีชื่อว่า เอ็มเอ็มอาร์ (MMR
ย่อมาจาก measles,mumps, rubella) - ในช่วงที่มีการระบาดหรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นโรคนี้ แนะนำให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด
- สำหรับผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยในระยะติดต่อ (4 วันก่อนถึง 4 วันหลังมีผื่นขึ้น) ถ้าไม่เคยเป็นหัดและไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันหัดมาก่อน ควรปรึกษาแพทย์ ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติดังนี้
ถ้าสัมผัสมาภายใน 5 วัน ให้ฉีดวัคซีนป้อง โรคนี้เกิดจากไวรัส เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการ ส่วนใหญ่ก็จะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ การที่ชาวบ้านให้ผู้ป่วยกินยาเขียวแล้วหายได้นั้นก็เพราะเหตุนี้ อย่างไรก็ตาม ควรแนะนำให้มีการติดตามเฝ้าดูภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นในผู้ใหญ่ ซึ่งมักมีความรุนแรงและโรคแทรกซ้อนมากกว่าเด็ก - ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหาก อย่าให้คลุกคลีกับคนอื่นจนกว่าจะพ้นระยะติดต่อ (ระยะติดต่อตั้งแต่ 4 วันก่อนผื่นขึ้นจนกระทั่งวันที่ 4 วันหลังเริ่มมีผื่นขึ้น)
- อาการไข้จะเป็นอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ และเมื่อมีผื่นขึ้นที่เท้าไข้จะลดลง ถ้ายังไม่ลดหรือลดแล้วกลับกำเริบใหม่ ควรคิดถึงภาวะแทรกซ้อนจากแบคทีเรีย เช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ
- หญิงตั้งครรภ์และผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเมื่อเป็นหัดมักจะมีอาการรุนแรงและอาจเกิดโรคปอดอักเสบหรือสมองอักเสบได้มากกว่าคนทั่วไป จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ถ้าสงสัยมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นควรส่งไปโรงพยาบาลโดยเร็ว ควรแนะนำให้ผู้หญิงที่ยังไม่เคยเป็นหัดฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่ก่อนแต่งงานหรือก่อนตั้งครรภ์
- ถ้าสงสัยเด็กมีภาวะขาดวิตามินเอ (เช่น อยู่ในท้องถิ่นที่มีปัญหานี้) เมื่อเป็นหัดควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาให้วิตามินเอเสริม ซึ่งจะช่วยลดความพิการและการเสียชีวิตลงได้
- โรคนี้ไม่มีของแสลง เมื่อเด็กกินได้ควรบำรุงด้วยอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเนื้อ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้มีภูมิต้านทานโรคได้มาก การอดของแสลงอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายขึ้น และอาจกลายเป็นโรคขาดอาหารได้
- โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่สามารถแพร่กระจาย รวดเร็ว เด็กที่ไม่เคยออกหัดหรือฉีดวัคซีนหัดมาก่อนจึงมีโอกาสเป็นกันเกือบทุกคน เมื่อเป็นแล้วมักมีภูมิคุ้มกันไปจนตลอดชีวิต จะไม่เป็นซ้ำอีก
บางคนอาจเข้าใจผิดว่าลูกออกหัดหลายครั้งความจริงเด็กอาจเป็นไข้ผื่นขึ้นจากสาเหตุอื่นก็ได้ เช่น หัดเยอรมัน ส่าไข้ ผื่นแพ้ยา เป็นต้น - มีความเชื่อกันว่า ถ้าผู้ป่วยเป็นไข้สูงที่ชวนให้สงสัยว่าเป็นหัด แต่ไม่มีผื่นขึ้น มักจะมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง จึงเรียกอาการเช่นนี้ว่า หัดหลบใน และมักจะให้กินยาเขียวเพื่อ “เพื่อกระทุ้ง” ให้ผื่นขึ้น
ความจริงคำว่า “หัดหลบใน” อาจมีความหมายได้สองแง่ แง่หนึ่งหมายถึง อาการไข้สูงที่เกิดจากโรคติดเชื้อร้ายแรง (เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ) ที่เกิดจากเชื้อตัวอื่น พวกนี้จะมีอาการคล้ายหัด แต่ไม่มีผื่น เมื่อเป็นแล้วอาจตายได้ อีกแง่หนึ่ง อาจหมายถึงอาการของหัดในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เด็กขาดอาหาร ผู้ป่วยมะเร็งและเอดส์ หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน พวกนี้เมื่อเป็นหัดมักจะไม่มีผื่น เพราะร่างกายไม่มีปฏิกิริยาต่อเชื้อหัด (ซึ่งจะแสดงออกมาเป็นผื่นตามตัว) จึงเรียกว่า หัดหลบใน ผู้ป่วยมักมีโรคแทรกรุนแรง (เช่น ปอดอักเสบ) ถึงตายได้
การรักษา หัด
- ให้ดูแลปฏิบัติตัวเหมือนไข้หวัด คือ พักผ่อนหรือห้ามอายน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้ขึ้นสูง ดื่มน้ำ และน้ำหวานหรือน้ำผลไม้มาก ๆ
ไม่ต้องงดของแสลง แต่ควรให้กินอาหารประเภทโปรตีน (เช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่ว ต่าง ๆ) มาก ๆ - ให้การรักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีไข้ให้พาราเซตามอล ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม ถ้าไอให้จิบน้ำผึ้งผสมมะนาวหรือยาแก้ไอ เป็นต้น
- ห้ามใช้ยาปฏิชีวนะตั้งแต่ระยะแรกเป็นเพราะนอกจากไม่มีความจำเป็นเนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสแล้วยังอาจทำให้เกิดโรคบอดบวมอักเสบชนิดร้ายแรงแทรกซ้อน (จากเชื้อสแตฟีโลค็อกคัส เข้าไปซ้ำเติม) ซึ่งยากแก่การรักษาได้
- ถ้ามีอาการท้องเดิน ให้การรักษาแบบท้องเดิน
- ถ้ามีอาการไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว หรือ ใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงกรอบแกรม (crepitation) หรือเสียงอึ๊ด (rhonchi) ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวี อะม็อกซีซิลลิน หรือ อีริโทรไมซิน
- ถ้ามีอาหารหอบมาก หรือนับการหายใจเร็วกว่าปกติ (สงสัยเป็นโรคปอดอักเสบอย่างรุนแรง) หรือท้องเดินจนมีอาการขาดขาดน้ำรุนแรง หรือซึม ชัก (สงสัยเป็นสมองอักเสบ) ควรส่งโรงพยาบาลด่วน อาจมีอันตรายถึงตายได้
- ในรายที่จำเป็นต้องวินิจฉัยโรคหัดให้แน่ชัดแพทย์จะทำการทดสอบทางน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อไวรัสหัดหรือตรวจหาเชื้อหัดจากจมูกเยื่อบุตา ปัสสาวะ หรือเลือดของผู้ป่วย