เยื่อบุมดลูกต่างที่

 เยื่อบุมดลูกต่างที่ คือ โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 10-15 ของผู้หญิง อายุระหว่าง 25-44 ปี และพบมากในผู้หญิงที่ไม่มีบุตร ซึ่งพบได้ประมาณ 3-4 เท่าของผู้หญิงที่ไม่มีบุตร  

ส่วนมากจะไม่มีอันตรายร้ายแรงส่วนน้อยอาจ รุนแรงจนต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ภาวะนี้มักเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงที่มีบุตรยาก   

เยื่อบุที่อยู่บนผิวในโพรงมดลูก เรียกว่า เยื่อบุมดลูก (endometrium)

                เยื่อนี้จะงอกหนาและมีเลือดคั่ง แล้วสลายตัวเป็นเลือดประจำเดือนทุกๆ เดือนในผู้หญิงบางคนอาจมีเศษ เยื่อบุมดลูกบางส่วนไปงอกผิดที่หรือต่างที่ เช่น ไปอยู่ใน ผนังกล้ามเนื้อมดลูกหรืออยู่ในรังไข่ หรือที่พบได้น้อย อาจไปงอกที่ท่อรังไข่ ช่องคลอด ลำไส้ หรือตรงแผลเป็นหลังผ่าตัด   เรียกว่า เยื่อบุมดลูกต่างที่(เยื่อบุผิวมดลูกงอกผิดที่ก็เรียก)

สาเหตุ เยื่อบุมดลูกต่างที่

ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุและกลไกการเกิดโรคที่แน่ชัด สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากมีเยื่อบุมดลูกที่ปนอยู่ในเลือดประจำเดือนไหลย้อนผ่านท่อรังไข่เข้าไปฝังตัวอยู่ตามที่ต่าง ๆ ภายในช่องท้อง โดยที่กลไกภูมิ คุ้มกันของผู้ป่วยบกพร่องไม่สามารถขจัดเนื้อเยื่อพวกนี้

                บ้างก็สันนิษฐานว่าเซลล์ของเยื่อบุภายในช่องท้อง(coelomic epithelium) เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เหมือนเยื่อบุผิวมดลูก

                นอกจากนี้ พบว่าผู้หญิงที่มีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้  มีโอกาสเกิดโรคนี้มากกว่าผู้หญิงทั่วไป เชื่อว่าโรคนี้อาจ มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์

                ทุก ๆ เดือนเศษเยื่อบุมดลูกที่งอกผิดปกติเหล่า นี้จะมีเลือดออกเช่นเดียวกับส่วนที่อยู่ในโพรงมดลูก แต่เนื่องจาก มันฝังอยู่ในเนื้อเยื่อ   เลือดจึงคั่งอยู่ภายในและทำให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบของเนื้อเยื่อโดยรอบ

                ในกรณีที่เป็นเยื่อบุมดลูกงอกที่เยื่อหุ้มรังไข่ มักจะกลายเป็นถุงน้ำหรือซิสต์ (cyst) ขนาดเท่าไข่ไก่ หรือ ผลส้มที่มีเลือดคั่งอยู่ข้างใน  นาน ๆ เข้าเลือดกลายเป็นสีดำเข้มคล้ายช็อกโกแลต จึงเรียกว่า ถุงน้ำช็อกโกแลต (chocolate cyst หรือ endometrioma) ซึ่งอาจทำให้มีอาการปวดท้องได้

อาการ เยื่อบุมดลูกต่างที่

                ผู้ป่วยอาจแสดงอาการในลักษณะต่าง ๆ ขึ้นกับตำแหน่งความรุนแรง และพยาธิสภาพของโรค

                บางรายอาจไม่มีอาการแสดงแต่อย่างใด หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย จนผู้ป่วยไม่ทันได้สังเกต และตรวจ พบโดยแพทย์โดยบังเอิญ

                กลุ่มที่มีอาการชัดเจน มักมีอาการปวดประจำเดือน ปวดท้องน้อย มีก้อนที่ท้องน้อย ประจำเดือนผิดปกติและ/หรือมีบุตรยาก

                อาการที่พบบ่อย คือ อาการปวดประจำเดือน ซึ่ง มักจะเกิดขึ้นหลังมีประจำเดือนครั้งแรกหลายปี หรือ หลังอายุ 25 ปีโดยทุกรอบเดือนจะเริ่มปวดตั้งแต่ 2-3 วันก่อนมีประจำเดือน (ระดู) ปวดมากทุกวันในช่องที่ มีประจำเดือน และทุเลาหลังประจำเดือนหมด ซึ่งมี ลักษณะอาการ ปวดที่ท้องน้อยและหลังบางครั้งอาจ ปวดร้าวไปที่หน้าขาและทวารหนัก อาการปวดประจำ เดือนจะรุนแรงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป บางรายอาจปวดรุนแรงจนมีอาการเป็นลม หรือต้องหยุดงาน

                บางรายอาจมีอาการปวดในอุ้งเชิงกราน (ท้องน้อยตรงบริเวณเหนือหัวหน่าว) ที่ไม่ตรงกับช่วงที่มีประจำเดือนก็ได้ ทั้งนี้เนื่องจากมีการอักเสบของเยื่อบุมดลูกที่งอกต่างที่ หรือเกิดจากมีพังผืดเกาะทำให้อวัยวะในอุ้ง เชิงกรานถูกดึงรั้งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ

                บางรายอาจมีอาการปวดเฉียบขณะร่วมเพศ เนื่องจากมีเยื่อบุมดลูกงอกอยู่ใกล้บริเวณช่องคลอด มักจะมี อาการปวดลึก ๆ ในอุ้งเชิงกรานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ มีการสอดอวัยวะเพศชายเจ้าไปลึก บางครั้งอาจปวดร้าว ไปที่หลังและทวารหนัก และอาการปวดมักรุนแรงขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือนเล็กน้อย

                ในรายที่มีเยื่อบุมดลูกงอกที่ลำไส้ใหญ่ อาจมีอาการปวดเบ่งขณะถ่ายอุจจาระหรือท้องเดิน บางราย อาจถ่ายอุจจาระเป็นเลือดขณะมีประจำเดือน (ทำให้ เข้าใจผิดว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้)

                บางรายอาจมีเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอดก่อนมีประจำเดือน

                ในรายที่มีเยื่อบุมดลูกงอกที่กระเพาะปัสสาวะ อาจทำให้มีอาการปวดท้องน้อยขณะถ่ายปัสสาวะ หรือขณะ มีประจำเดือนอาจถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด

ข้อแนะนำ 
  

                1. ผู้หญิงที่มีอาการปวดประจำเดือนรุนแรงเป็นประจำ หรือเริ่มปวดครั้งแรกเมื่ออายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป ควรนึกถึงโรคนี้ไว้เสมอ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ มีบุตรยาก) นอกจากนี้ก็ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น เนื้องอกมดลูก อุ้งเชิงกรานอักเสบ เรื้อรัง เป็นต้น

                2.  อาการปวดท้องน้อยรุนแรง นอกจากเยื่อบุมดลูกต่างที่แล้ว ยังอาจเกิดจากถุงน้ำรังไข่ ไส้ติ่งอักเสบ นิ่วท่อไต ปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน ครรภ์นอกมดลูก เป็นต้น  

การรักษา เยื่อบุมดลูกต่างที่

                หากสงสัยควรแนะนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาล เพื่อทำ การตรวจภายในช่องคลอด  และทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น การตรวจอัตราซาวนด์ การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การใช้กล้องส่อง ตรวจช่องท้อง (laparoscopy ซึ่งสามารถตัดชิ้นเนื้อส่งพิสูจน์ได้) เป็นต้น

การรักษา แพทย์ให้การรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวด ยับยั้งไม่ให้โรคลุกลาม และส่งเสริมการมีบุตรโดยมีแนวทางดังนี้

                1.ในรายที่มีอาการเพียงเล็กน้อย จะให้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล  ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ ทรามาดอล เป็นต้น กินเป็นครั้งคราวเวลามีอาการปวด และนัดมาติดตามดูอาการเป็นระยะ

                2.  ในรายที่มีอาการรุนแรงปานกลางจะให้ยา ฮอร์โมนเพื่อหยุดการเจริญของเยื่อบุมดลูกที่โปงอก ผิดที่เป็นการยับยั้งไม่ให้โรคลุกลามมากขั้น(ไม่ได้ช่วยให้หายขาด) ยาฮอร์โมนอาจเลือกให้ขนาดใดขนานหนึ่ง ดังนี้

  • ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม (เอสโทรเจนกับโพรเจสเทอโรน) เริ่มจากวันละ 1 เม็ด และเพิ่มขึ้นครั้งละ 1 เม็ดทุกครั้งที่มีเลือดออกกะปริดกะปรอย (มักไม่ เกิน 3 เม็ด/วัน) ใช้ติดต่อกันนาน 6-9 เดือน ใน 3-4 เดือนแรกอาจมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื้อบุมดลูก อาจ ทำให้รู้สึกอาการเลวลงแต่หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้น
  • โพรเจสเทอโรน เช่น depot medroxyprogesterone acetate/DMPA (ยาฉีดคุมกำเนิด) 100 -150 มก.ฉีดเข้ากล้ามทุก 2 สัปดาห์จนครบ 4 ครั้ง หลังจากนั้นฉีดทุกเดือนจนครบ 9 เดือน อาจใช้ medroxyprogesterone acetate ชนิดกิน 30 มก./วัน แทนก็ได้
  •  ดานาซอล (danazol)* ซึ่งเป็นยากดการทำงานของรังไข่โดยมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่ง gonadotropin realeasing hormone  และ/หรือ gonadotropins มีผลทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมนเอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนทำให้เยื่อบุมดลูกต่างที่หยุดการเจริญ โดยเริ่มให้กินขนาด 400 มก./วัน ก่อน เมื่อมีเลือดออกให้เพิ่มครั้งละ 200 มก.(สูงสุดไม่เกิน 800 มก./วัน) นาน 6-9 เดือน
  • ยากระตุ้น gonadotropin realeasing hor mone  ซึ่งเมื่อใช้นาน ๆ จะมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่ง gonadotropins ทำให้หยุดการเจริญของเยื่อบุมดลูกต่างที่ เช่น depot leuprorelin acetate 3.75 มก.ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเดือนละครั้ง นาน 6 เดือน ยานี้มีผลข้างเคียงที่เกิดจากการขาดเอสโทรเจน ทำให้มีอาการออกร้อนซู่ซ่าตามผิวกาย ช่องคลอดแห้ง 

              3. ในรายที่เป็นรุนแรงมาก ใช้ยาฮอร์โมนบำบัดไม่ได้ผล หรือต้องการมีบุตร ก็อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

                ในรายที่อายุมากและไม่ต้องการมีบุตรแล้ว แพทย์จะผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ทั้ง 2 ข้างออก เมื่อร่างกายขาดเอสโทรเจน เนื่องจากไม่มีรังไข่ที่ทำหน้าที่ สร้างฮอร์โมนชนิดนี้ เยื่อบุมดลูกต่างที่ที่อาจหลงเหลือ อยู่ก็จะฝ่อลง ผู้ป่วยบางรายที่มีพังผืด มากอาจผ่าตัดเอา รังไข่ออกไม่หมด
เนื้อเยื่อรังไข่ที่คงเหลือไว้บางส่วน  สามารถสร้างเอสโทรเจนออกมากระตุ้นให้เกิดเยื่อบุ มดลูกต่างที่ขึ้นมาภายหลังได้อีก

                ในรายที่อายุไม่มากหรือยังต้องการมีบุตรแพทย์จะทำการผ่าตัดเฉพาะส่วนที่มีพยาธิสภาพออกให้  มากที่สุด เช่น ตัดเองถุงน้ำออก    เลาะพังผืดที่ติดรั้งออก เป็นต้น โดยยังเก็บรักษามดลูก รังไข่ และท่อนำไข่ไว้ เพื่อให้มีบุตรได้ต่อไป การผ่าตัดชนิดนี้อาจทำได้ตามวิธี ดั้งเดิม (ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง) หรือผ่าตัดโดยวิธีส่องกล้อง เข้าช่องท้อง (laparoscopic surgery) หลังผ่าตัดถ้าหาก มีเยื่อมดลูกต่างที่หลงเหลืออยู่ก็อาจกำเริบได้อีก เนื่องจากร่างกายยังมีรังไข่สร้างเอสโทรเจนออกมากระตุ้นให้เยื่อบุมดลูกเจริญได้ ซึ่งอาจจำเป็นต้องให้ยาฮอร์โมนรักษาต่อ

                4.ในรายที่ต้องการมีบุตร แพทย์อาจให้การช่วยเหลือ เช่น การผสมเทียม การผ่าตัดแก้ไขพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกราน เป็นต้น ส่วนจะได้ผลมากน้อยเพียงใดขึ้น กับความรุนแรงของโรค 

                การช่วยให้ตั้งครรภ์มีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้อาการกำเริบและลดความรุนแรงได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 2 และ3 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง ของฮอร์โมนในร่างกายอาการกำเริบและลดความรุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง ของฮอร์โมนในร่างกาย

[Total: 0 Average: 0]