โรคดื้อต่อต้าน (Oppositinoal Defiant Disorder :ODD) เป็นความผิดปกติที่ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมเกิดอาการต่อต้านและอารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่าย ซึ่งมักส่งผลต่อการทำงาน การศึกษาและการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น
แม้แต่เด็กที่เชื่อฟังมากก็ยังมีโอกาสเกิดอารมณ์ขุ่นมัวและดื้อบ้างเป็นครั้งคราว แต่รูปแบบการแสดงความโกรธ การต่อต้านและความกร้าวร้าวต่อผู้ใหญ่อาจเป็นสัญญาณของโรคดื้อและต่อต้านได้
โรคดื้อต่อต้านพบในเด็กวัยเรียนประมาณ 1 ถึง 16% พบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง เด็กหลายคนเริ่มแสดงอาการโรคดื้อและต่อต้านระหว่างอายุ 6 ถึง 8 ปี โรคดื้อและต่อต้านยังมีโอกาสพบผู้ใหญ่ โดยผู้ใหญ่ที่เป็นโรคดื้อและต่อต้านอาจไม่พบว่ามีอาการในวัยเด็กได้
ระดับความรุนแรงของโรคดื้อและต่อต้าน
DSM-5 แบ่งระดับความรุนแรงของโรคดื้อและต่อต้านไว้ดังนี้:
- ไม่รุนแรง: อาการมีจำกัด อาจมีเพียงอาการใดอาการหนึ่งเท่านั้น
- ปานกลาง: อาการปรากฏอย่างน้อย 2 ลักษณะประกอบกัน
- รุนแรง: อาการปรากฏอย่างน้อย 3 ลักษณะประกอบกัน
สาเหตุ โรคดื้อและต่อต้าน
ไม่มีสาเหตุของโรคดื้อและต่อต้านที่ชัดเจน แต่มีทฤษฎีว่าปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยทางชีวภาพ และจิตวิทยาเมื่อร่วมกันอาจก่อให้เกิดโรคนี้ได้ อย่างกรณีของครอบครัวที่มีประวัติของโรคสมาธิสั้น (ADHD) มักมีโอกาสเป็นโรคดื้อและต่อต้านได้
ทฤษฎีหนึ่งระบุว่าโรคดื้อและต่อต้านจะเริ่มพัฒนาตั้งแต่ยังเป็นเด็กแบเบาะ พบว่าเด็กหรือวัยรุ่นที่เป็นโรคดื้อต่อต้านยังมีพฤติกรรมปกติในช่วงวัยแบเบาะ ทฤษฎีนี้ยังเชื่อว่าเด็กหรือวัยรุ่นคือช่วงวัยที่กำลังต้องการเป็นอิสระจากผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ จึงมีแนวโน้มที่จะใช้อารมณ์มากขึ้น และจะมีภาวะต่อต้าน หลายคนเลยเรียกว่าเป็นวัยต่อต้าน
นอกจากนี้เป็นไปได้ว่าภาวะต่อต้านเป็นพฤติกรรมที่ได้จากการเรียนรู้ สะท้อนว่าการเลี้ยงดูที่ผิดวิธีของผู้ปกครองจะส่งผลต่อเด็ก เด็กอาจใช้พฤติกรรมที่ไม่ดีเรียกร้องความสนใจ และรับพฤติกรรมเชิงลบมาจากผู้ปกครอง
สาเหตุอื่น ๆ ที่เป็นไปได้ ได้แก่ :
- อุปนิสัยส่วนตัว เช่น เป็นคนเอาแต่ใจ
- ขาดความผูกพันที่ดีกับผู้ปกครอง
- ความเครียด หรือเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ หรือเหตุการณ์ใด ๆ ในชีวิตประจำวัน
อาการของโรคดื้อและต่อต้าน
อาการในเด็กและวัยรุ่น
โรคดื้อและต่อต้านมักส่งผลกระทบต่อเด็กและวัยรุ่นมากที่สุด อาการของโรคดื้อและต่อต้านมีดังนี้ :
- ฉุนเฉียวง่าย หรือโกรธได้บ่อย ๆ
- มีอาการต่อต้านคำสั่งของผู้ใหญ่
- ชอบโต้เถียงผู้ใหญ่และผู้มีอาวุโสมากกว่า
- ชอบตั้งคำถามหรือหาทางหลีกเลี่ยงกฎระเบียบต่าง ๆ
- มีพฤติกรรมชอบยุ่วยุให้ผู็อื่นอารมณ์เสีย หรือรำคาญ
- ชอบกล่าวโทษผู้อื่นในข้อผิดพลาด หรือการประพฤติที่ไม่ถูกต้องของตนเอง
- หงุดหงิดรำคาญง่าย
- รู้สึกอาฆาต โกรธแค้น
การมีอาการเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถวินิจฉัยว่าเป็นโรคดื้อและต่อต้าน แต่ต้องมีอาการหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
อาการในผู้ใหญ่
อาการโรคดื้อและต่อต้านในเด็กและผู้ใหญ่มีความคล้ายคลึงกัน ดังมีรายละเอียด ดังนี้ :
- รู้สึกโกรธเกลียดโลก
- รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือโกรธเกลียดผู้คน
- ต่อต้านผู้มีอำนาจมากกว่า อย่างหัวหน้างานในที่ทำงาน
- รู้สึกต่อต้านสังคม
- ปิดกั้นตัวเองด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว และไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
- พาลเอาแต่โทษผู้อื่น
ความผิดปกติในในผู้ใหญ่มักวินิจฉัยได้ยาก เพราะมีพฤติกรรมทางอารมณ์ที่หลากหลาย และหลายพฤติกรรมยังเป็นผลจากสารเสพติด และความผิดปกติอื่น ๆ
การรักษาโรคดื้อและต่อต้าน
เกณฑ์ที่ใช้วินิจฉัยความผิดปกติของผู้ป่วย :
เอกสารคู่มือการวินิจฉัยและวัดสถิติความผิดปกติทางจิต ที่เรียกว่า DSM-5 ได้สรุปปัจจัยหลัก 3 ประการที่ต้องใช้เพื่อวินิจฉัยโรคดื้อและต่อต้าน:
1. แสดงรูปแบบพฤติกรรม: พิจารณารูปแบบของอารมณ์ด้านลบต่าง ๆ ทั้งอารมณ์โกรธ หงุดหงิด วิธีการโต้เถียง หรือการโต้เถียง ใช้เวลาวินิจฉัยประมาณ 6 เดือน ในช่วงเวลานี้ต้องสังเกตุพฤติกรรม อย่างน้อย 4 รายการจากรูปแบบที่ระบุ เป็นการแสดงพฤติกรรมกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติมิตร ได้แก่ :
การแสดงอารมณ์โกรธ หรือหงุดหงิด ได้แก่:
- อารมณ์เสียบ่อย
- ขี้งอน
- ขี้รำคาญ
- โกรธหรือไม่พอใจอะไรง่าย ๆ
พฤติกรรมต่อต้าน หรือยั่วยุต่าง ๆ ได้แก่:
- ขึ้นเสียงกับผู้มีบังคับบัญชาหรือผู้ปกครองบ่อย ๆ
- ไม่ยอมทำตามคำขอของผู้มีอำนาจ
- ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำขอของผู้มีอำนาจ
- จงใจสร้างความรำคาญให้ผู้อื่น
- กล่าวโทษผู้อื่นเวลากระทำผิด
- ความอาฆาต มาดร้าย
การแสดงความอาฆาตแค้นอย่างน้อย 2 ครั้งในรอบ 6 เดือน