ถ้าาพบผู้ป่วยเป็นไข้(≥ 38๐ซ)ไข้หวัดหรือไข้ร่วม กับหายใจหอบ และมีประวัติสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วย หรือตายภายใน 7 วันก่อนป่วย หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วันก่อนป่วย หรือพบผู้ป่วยสงสัยเป็นไข้หวัดนก ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล โดยเร็ว
แพทย์จะทำการวินิจฉัย โดยการนำสิ่งคัดหลั่ง บริเวณคอหอยโพรงหลังจมูกหรือหลอดลมไปตรวจหา เชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น 1 ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น immunofluorescent assay (IFA) , reverse transcriptase polymerase chain reaction (RT-PCR), real time PCR การแยกเชื้อในเซลล์เพาะเลี้ยง เป็นต้น และทำการตรวจพิเศษ เช่น เอกซเรย์ปอด (พบร่องรอยการอักเสบของปอด) ตรวจเลือด (พบเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ต่ำเอนไซม์ตับได้แก่ AST และ ALT สูง ครีอะตินีนสูง)
ถ้าตรวจพบหรือสงสัยเป็นไข้หวัดนก มักจะต้องรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล
การรักษา แพทย์จะให้ยาต้านไวรัส ได้แก่ โอเซลทามิเวียร์ (oseltamivir) ซึ่งมีชื่อการค้า เช่น ทามิฟลู (tamiflu) ผู้ใหญ่ให้ขนาด 75 มก.วันละ 2 ครั้ง (เด็ก น้ำหนัก 15 กก.หรือน้อยกว่า 30 มก.น้ำหนัก 16-23 กก.ให้ครั้งละ 45 มก. น้ำหนัก 24 – 40 กก.ครั้งละ 60 มก. น้ำหนักมากกว่า 40กก.ให้ครั้งละ 75 มก.วันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน ยานี้จะใช้ได้ผลดีควรให้ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการ
ในรายที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาเพิ่ม ขนาดยาเป็น 2 เท่า (เช่น ผู้ใหญ่ครั้งละ 150 มก.) นาน 7 – 10 วัน
นอกจากนี้ จะให้การรักษาตามอาการหรือภาวะ ที่พบร่วม เช่น ถ้าหายใจหอบ ก็ใช้เครื่องช่วยหายใจ และให้ออกซิเจน
ถ้าสงสัยมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนก็ให้ ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่สงสัย
ในรายที่มีภาวการณ์หายใจล้มเหลว อาจพิจารณาให้สตีรอยด์ (ซึ่งยังสรุปไม่ได้แน่ชัดถึงประโยชน์ของการใช้ยานี้)
ผลการรักษาขึ้นกับความรุนแรงของโรค ในรายที่มีการติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน มักจะมีอัตราตายสูง มักตายภายใน 6-30 วัน หลังมีอาการ (เฉลี่ย 9-10 วัน)
ในรายที่มีอาการไม่รุนแรงและไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก็มักจะรักษาให้หายขาดได้