โรคฝีดาษลิง (Monkeypox)

เป็นโรคหายาก เกิดจากไวรัสที่เป็นญาติกับโรคฝีดาษ (smallpox) ทำให้เป็นไข้ มีฝีหนองคันเกิดขึ้นตามผิว และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ปรกติ “โรคฝีดาษลิง” จะพบในทวีปแอฟริกา และมักพบในสัตว์ แต่ไม่นานมานี้มีรายงานข่าวการตรวจพบในบางประเทศยุโรป

ยังคงเฝ้าระวังและป้องกัน “โรคฝีดาษลิง (Monkeypox)” ซึ่งเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน และติดจากคนสู่คนได้ โรคนี้พบมากในประเทศแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก ได้แก่ แคเมอรูน สาธารณรัฐแอฟริกากลาง คองโก กาบอง ไลบีเรีย ไนจีเรีย และเซียร์ราลีโอน การพบผู้ป่วยในประเทศนอกเขตแอฟริกา เช่น สหรัฐอเมริกา อิสราเอล สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร มักเกิดจากการเดินทางระหว่างประเทศหรือการนำเข้าสัตว์ที่ติดเชื้อ

โปรตุเกส รายงานว่าพบเคสยืนยันแล้ว 5 ราย และต้องสงสัยอีก 15 ราย พบในลิสบอน ทุกรายเป็นผู้ชาย ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่ม มีแผลตามผิวหนังแต่อาการยังไม่รุนแรง ขณะที่ UK รายงานพบทั้งหมด 7 รายจากกลุ่มชายที่เป็นเกย์/ไบเซ็กชวล ลอนดอน ส่วนสเปน พบต้องสงสัย 8 รายและรอการพิสูจน์ยืนยัน

“โรคฝีดาษลิง” ในชาติตะวันตก หลังจากสวีเดนแถลงพบผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงเป็นคนแรกในประเทศ เช่นเดียวกับที่อิตาลี ส่วนฝรั่งเศสพบบุคคลต้องสงสัยว่าอาจป่วยเป็นโรคฝีดาษลิง สหรัฐอเมริกาและแคนาดาแถลงยืนยันว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงรายแรกของประเทศ

โรคฝีดาษลิงไม่ใช่โรคใหม่ แต่เคยระบาดมาแล้วมากกว่า 20 ปี โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae จัดอยู่ในจีนัส Orthopoxvirus เช่นเดียวกับไวรัสอีกหลายชนิด ได้แก่ ไวรัสที่ทำให้เกิดฝีดาษในคนหรือไข้ทรพิษ (variola virus) ไวรัสที่นำมาผลิตวัคซีนป้องกันฝีดาษในคน (vaccinia virus) และฝีดาษวัว (cowpox virus) เชื้อไวรัสฝีดาษลิงพบได้ในสัตว์หลายชนิด

โดยเฉพาะสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า เป็นต้น รวมทั้งคนก็สามารถติดโรคได้

ที่มาของชื่อโรคฝีดาษลิง อธิบายคือ ไวรัสโรคฝีดาษลิง อยู่ในสกุล ออร์โทพ็อกซ์ไวรัส (Orthopoxvirus) ของวงศ์ พ็อกซ์วิริดี้ Poxviridae (คำว่า pox หมายถึง ฝีหนอง) ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958 ในการระบาดของโรคที่คล้ายฝีดาษ ซึ่งเกิดในห้องแล็บวิจัยที่เลี้ยงลิงไว้ แม้ไม่ได้มีหลักฐานว่าลิงเป็นสาเหตุของการระบาดครั้งนั้น แต่คนก็เอาไปตั้งชื่อโรคว่า “ฝีดาษลิง” ไปแล้ว กระทั่งปัจจุบัน องค์การอนามัยโลก คาดว่าสัตว์ตามธรรมชาติที่เป็นพาหะของโรคนี้ จริง ๆ น่าจะเป็นพวกสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู และกระรอกในป่าของแอฟริกา

—–

การติดต่อโรคฝีดาษลิง

คนสามารถติดโรคจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัดข่วน การประกอบอาหารจากเนื้อสัตว์ป่า หรือกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ หรืออาจติดทางอ้อมจากการสัมผัสที่นอนของสัตว์ป่วย

การแพร่เชื้อจากคนสู่คนแม้มีโอกาสน้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ ผิวหนังที่เป็นตุ่ม หรืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ

—–

ระยะเวลาในการรับเชื้อ-อาการโรคฝีดาษลิง

เมื่อคนรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 7-14 วัน อาจนานถึง 21 วัน
อาการเริ่มแรกจะมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น อ่อนเพลีย

จากนั้นประมาณ 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้นบริเวณแขนขา และอาจจะเกิดบนหน้าและลำตัวได้ด้วย ผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง

ระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออกมา อาการป่วยจะประมาณ 2-4 สัปดาห์

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคเองได้ โดยอาการรุนแรงมักพบในกลุ่มเด็ก ซึ่งในประเทศแอฟริกาพบอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 10

การรักษา โรคฝีดาษลิง

“โรค ฝีดาษลิง” ไม่มีวิธีรักษาโดยเฉพาะ และส่วนใหญ่โรคจะหายไปเอง เชื่อกันว่า “วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ” นั้นมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคฝีดาษลิงไปด้วย แต่เนื่องจากโรคฝีดาษได้ถูกกำจัดหมดไปแล้วตั้งแต่เมื่อ 40 ปีก่อน ทำให้ตอนนี้ ไม่มีวัคซีนโรคฝีดาษสำหรับประชาชนเหลืออยู่อีกต่อไป

แต่มีการพัฒนาวัคซีนใหม่สำเร็จแล้ว โดยบริษัท Bavarian Nordic สำหรับป้องกันทั้งโรคฝีดาษในคน และโรค ฝีดาษลิง โดยได้รับการรับรองแล้วจากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และแคนาดา โดยจะใช้ชื่อการค้าว่า Imvanex, Jynneos และ Imvamune ตามลำดับ ส่วนยาต้านไวรัสกำลังอยู่ระหว่างพัฒนา


การป้องกันควบคุมโรค เริ่มต้นด้วยการป้องกันตนเองโรคฝีดาษลิง

หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อหรือสัตว์ป่า

หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ

หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์เมื่อสัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ หรือเดินทางเข้าไปในป่า

ไม่นำสัตว์ป่ามาเลี้ยงหรือนำเข้าสัตว์จากต่างประเทศโดยไม่มีการ คัดกรองโรค

กรณีมีการเดินทางกลับจากประเทศที่เป็นเขตติดโรค ต้องทำการคัดกรองและเฝ้าระวังอาการจนครบ 21 วัน หากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ทันที และทำการแยกกักเพื่อมิให้ผู้ป่วยมีการแพร่กระจายเชื้อ

[Total: 3 Average: 5]