แผลในปาก (Mouth Ulcers)

แผลในปาก หรือที่เราเรียกว่า แผลร้อนใน (Mouth ulcers) คือ  แผลขนาดเล็กที่ทำให้คุณรู้สึกเจ็บที่เกิดในปากหรือเหงือก ส่งผลให้ไม่สามารถรับประทานอาหารหรือพูดคุยได้อย่างสะดวก

เพศหญิงและผู้ที่มีประวัติว่าสมาชิกในครอบครัวเป็นแผลในปากนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการผิดปกตินี้มากกว่าคนทั่วไป

แผลที่ปากไม่ใช่โรคติดต่อและมักหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามหากมีแผลร้อนในที่มีขนาดใหญ่หรือเจ็บปวดมาก เป็นเวลานานควรพบแพทย์

การแบ่งประเภทแผลในปาก

แผลในปากนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก

แผลในปากขนาดเล็ก (Minor)

แผลร้อนในขนาดเล็ก เป็นแผลรูปวงรีหรือกลมเล็ก ๆ ซึ่งจะหายภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่มีแผลเป็น

แผลในปากขนาดใหญ่ (Major)

แผลร้อนในที่มีขนาดใหญ่ และลึกกว่าแผลในปากขนาดเล็ก โดยขอบที่ผิดปกติ และอาจใช้เวลายาวนาน 6 สัปดาห์ ในการรักษา โดยแผลในปากใหญ่อาจส่งผลให้เกิดแผลเป็นในระยะยาว

แผลชนิดคล้ายเฮอร์ปีส์ (Herpetiform)

เป็นแผลในปากมีขนาดที่แน่ชัดเกิดขึ้นเป็นชุดสามารถเกิดได้ตั้งแต่ 10 ถึง 100 และมักส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่ แผลในปากแบบนี้มีขอบที่ผิดปกติและมักจะหายขาดโดยไม่ทำให้เกิดแผลเป็นภายใน 1-2 สัปดาห์

หากมีอาการแผลในปากดังนี้ควรพบแพทย์โดยทันที

  • แผลในปากขนาดใหญ่ผิดปกติ
  • มีแผลในปากเพิ่ม ก่อนที่แผลเก่าจะหาย
  • แผลในปากนานกว่า 3 สัปดาห์
  • แผลในปากที่ไม่มีอาการเจ็บปวด
  • แผลในปากที่ขยายไปถึงริมฝีปาก
  • แผลในปากที่ยาไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้
  • แผลในปากที่กระทบการรับประทานอาหารและการพูดคุยอย่างรุนแรง
  • ไข้สูง หรือท้องเสีย เมื่อแผลในปากเกิดขึ้น

สาเหตุ แผลในปาก

ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดแผลในปากได้อย่างแน่ชัด แต่พบว่ามีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิดแผลในปากได้ ดังนี้

  • การระคายเคืองในช่องปาก แผลในปากนั้นอาจเกิดจากการระคายเคืองในช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นการแปรงฟันแรงเกินไป การเสียดสีกับลวดจัดฟัน แผลจากอุบัติเหตุ แผลจากทันตกรรม กัดปากหรือกระพุ้งแก้ม การใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่ผสมสารเพิ่มฟอง (Sodium lauryl sulfate) อาการไวต่ออาหารบางชนิด อย่างถั่ว ไข่ ช็อกโกแลต กาแฟ หรืออาหารรสจัดและอาหารที่มีกรด
  • การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์อาจส่งผลให้เกิดแผลในปากได้ เช่น การขาดสารอาหาร โดยเฉพาะธาตุเหล็ก สังกะสี กรดโฟลิค วิตามินบี 6 และ 12 การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนภายในช่วงรอบเดือน พักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด เป็นต้น
  • เชื้อโรคในช่องปาก เชื้อโรคในช่องปากและโรคจากการติดเชื้ออาจส่งผลให้เกิดแผลในปากได้ อย่างเชื้อเอชไพโลไร(Helicobacter pylori) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกันที่ทำให้เกิดแผลในทางเดินอาหาร โรคเริม เชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์ โรคเชื้อราในปาก หรืออาจเกิดจากการแพ้เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้อราภายในช่องปาก นอกจากนี้ การละเลยการดูแลช่องปากก็อาจเป็นสาเหตุของแผลในช่องปากได้
  • เกิดจากโรคและสุขภาวะ แผลในปากอาจเป็นสัญญาณหรืออาการของโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคเซลิแอค(Celiac disease) หรือโรคแพ้กลูเตน โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคเบเซ็ท (Behcet’s disease) หรือโรคหลอดเลือดอักเสบ ระบบภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง โรคมะเร็งช่องปาก เป็นต้น
  • อาการบาดเจ็บที่ปากเล็กน้อยจากการแปรงฟัน ทันตกรรม การเล่นกีฬา หรือการกัดปากโดยไม่ตั้งใจ
  • ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่มีโซเดียมลอริลซัลเฟต
  • อาหารที่เป็นกรด เช่น สตรอเบอร์รี่ ส้ม และสับปะรด และสิ่งกระตุ้นอื่น ๆ เช่น ช็อคโกแลตและกาแฟ 
  • การขาดวิตามินที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง B-12, ซิงค์ โฟเลตและเหล็ก
  • การแพ้แบคทีเรีย
  • การแพ้เครื่องมือจัดฟัน
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างมีประจำเดือน
  • ความเครียดทางอารมณ์ หรือการนอนหลับไม่เพียงพอ
  • การติดเชื้อแบคทีเรียไวรัสหรือเชื้อรา

นอกจากนี้ ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นอาจเกิดอาการแผลในช่องปากได้บ่อยกว่าคนกลุ่มอื่น โดยจะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย แผลในปากนั้นอาจส่งต่อผ่านทางพันธุกรรมหรือเกิดจากปัจจัยร่วมในครอบครัว อย่างสภาพแวดล้อมหรืออาหารที่รับประทานร่วมกันในครัวเรือน

อาการ แผลในปาก

แผลในปากอาจเกิดขึ้นเพียงจุดเดียวหรือหลายจุดพร้อมกันได้จะรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส ซึ่งอาจเป็นปัญหาในการแปรงฟันและการเคี้ยวอาหาร โดยเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารรสจัดหรือของร้อน

นอกจากนี้ ลักษณะอาการของแผลในปากอาจแบ่งได้ตามขนาดและชนิด ดังนี้

  • แผลขนาดเล็ก แผลในปากขนาดเล็กเป็นชนิดที่พบได้บ่อยมากที่สุด โดยแผลจะมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรีขนาดเล็ก สามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
  • แผลขนาดใหญ่ แผลในปากขนาดใหญ่มักพบได้น้อย มีลักษณะเป็นวงกลมและวงรีขนาดใหญ่และลึกกว่าแผลขนาดเล็ก ขอบแผลชัดแต่เมื่อแผลมีขนาดใหญ่มากขอบของแผลอาจมีลักษณะที่เปลี่ยนไป เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บมากโดยอาจใช้เวลาราว 6 สัปดาห์ในการรักษาและอาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้
  • แผลเฮอร์ปิติฟอร์ม (Herpetiform) เป็นแผลที่พบได้ยาก ขนาดเล็กแต่มีจำนวนมากซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 10-100 จุด และอาจขยายรวมกันจนกลายเป็นแผลใหญ่แผลเดียว มีลักษณะขอบแผลที่ไม่แน่นอนสามารถหายได้ใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น โดยแผลในปากชนิดนี้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อเริม

อย่างไรก็ตาม หากเกิดอาการต่อไปนี้ควรไปพบแพทย์  เป็นแผลขนาดใหญ่ผิดปกติ มีแผลเกิดใหม่ในขณะที่แผลเก่ายังไม่หาย และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3  สัปดาห์ เมื่อสัมผัสแล้วไม่รู้สึกเจ็บ มีแผลเกิดขึ้นบริเวณริมฝีปาก ยาหรือการดูแลด้วยตนเองเบื้องต้นไม่สามารถบรรเทาอาการปวดได้ มีปัญหาในการดื่มน้ำอย่างรุนแรงหรือไม่สามารถรับประทานอาหารได้ มีไข้สูงหรือท้องเสียร่วมกับเกิดแผลในปาก

การรักษา แผลในปาก

แผลในปากส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรักษา อย่างไรก็ตามหากมีแผลในปากบ่อย ๆ หรือแผลทำให้เจ็บปวดมาก การรักษาเหล่านี้ช่วยลดความเจ็บปวดได้ :

  • ใช้น้ำเกลือและเบกกิ้งโซดาล้างแผลในปาก
  • ปิดแผลในปากด้วยนมแมกนีเซีย
  • ปิดแผลในปากด้วยเบกกิ้งโซดา
  • ใช้ยาเบนโซเคนที่ขายตามร้านขายยาทั่วไป (ยาชาเฉพาะที่) เช่น Orajel หรือ Anbesol
  • ใช้น้ำแข็งประคบแผลในปาก
  • ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสเตียรอยด์ เพื่อลดอาการปวดและบวม
  • ใช้ยาทาปกปิดแผลในปาก
  • ประคบแผลในปากด้วยถุงชาชื้น
  • การทานอาหารเสริม เช่น กรดโฟลิก วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และสังกะสี
  • พยายามรักษาธรรมชาติ เช่น ชาดอกคาโมไมล์ ไม้หอม และรากชะเอม เป็นต้น
[Total: 0 Average: 0]