ปวดฟัน

อาการเจ็บปวดหรือการอักเสบด้านในหรือรอบๆ ฟัน มักเกิดจากฟันผุหรือการติดเชื้อ เป็นโรคทีพบได้ประมาณร้อยละ 80 ของคนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่ชอบกินน้ำตาลหรือของหวานและไม่ได้แปรงฟันให้สะอาด

สาเหตุทั่วไปของอาการ ปวดฟัน

การปวดฟันอาจมีสาเหตุที่ไม่ได้มาจากโรคพื้นเดิม ตัวอย่างเช่น การกัดของแข็ง การใช้ไหมขัดฟัน

การมีบางอย่างติดอยู่ในซอกฟันหรือเครื่องมือจัดฟันเกิดจากการมีเศษอาหารค้างอยู่ตามซอกฟัน หรือมีน้ำตาล (จากอาหารที่กิน) ค้างคาอยู่ในปาก สัมผัสถูกฟันเป็นเวลานาน ทำให้แบคทีเรีย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Streptococcus mutans) ที่อยู่บนแผ่นคราบฟัน ย่อยสลายเศษอาหารพวกแป้งและน้ำตาลให้เกิดเป็นสารกรดซึ่งสามารถกัดกร่อนผิวฟันทีละน้อย จากชั้นเคลือบฟันภายนอกเข้าไปในเนื้อฟันจนทะลุถึงชั้นโพรงประสาทฟันก็จะทำให้เกิดอาการปวดฟัน หรือฟันอักเสบเป็นหนอง สำหรับในเด็กถือเป็นเรื่องปกติในกระบวนการเจริญเติบโต

อาการ ปวดฟัน

ในระยะแรกจะมีอาการปวดเสียวฟันเล็กน้อยเวลากินของหวาน ของเย็นจัด หรือร้อนจัด ถ้าฟันผุมากขึ้น อาจมีเศษอาหารติดอยู่ในโพรงทำให้มีกลิ่นปากได้

ถ้าฟันผุจนถึงชั้นโพรงประสาท (ชั้นในสุด) ก็จะทำให้โพรงประสาทอักเสบ มีอาการปวดฟันรุนแรงเวลากินของหวาน ของเย็นจัด หรือร้อนจัด  บางรายอาจมีอาการปวดแปลบๆ ซึ่งบ่งบอกตำแหน่งของฟันที่ปวด  ถ้าปล่อยไว้จนรากฟันอักเสบเป็นหนองก็จะทำให้มีอาการปวดฟันรุนแรง

การป้องกัน ปวดฟัน

  1. หลีกเลี่ยงการอมหรือจิบของกินที่มีน้ำตาล (เช่นทอฟฟี่ ลูกอม น้ำตาล น้ำผึ้ง ของหวาน น้ำหวาน  น้ำผลไม้ นม เป็นต้น) ต่อเนื่องนาน ๆ หากกินของเหล่านี้หลังกินควรรีบบ้วนปากทันทีอย่าให้มีน้ำตาลตกค้างอยู่ในปาก  ผู้ที่ฟันผุง่ายควรลดการกินของเหล่านี้
  2. แปรงฟันให้ถูกวิธี  อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน (dental floss silk) ขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง  และหลังกินอาหารทุกครั้งควรบ้วนปากทันที
  3. ใช้ฟลูออไรด์  อาจเป็นในรูปของยาเม็ด ยาอมบ้วนปาก หรือยาสีฟันผสมฟลูออไรด์  ถ้าใช้ชนิดกิน ควรปรึกษาทันตแพทย์ถึงขนาดและวิธีการใช้ เพราะถ้าใช้มากไปอาจทำให้ฟันตกกระหรือกินขนาดสูงมากๆ อาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ ฟลูออไรด์จะเสริมสร้างผิวเคลือบฟันให้แข็งแรง  แต่จะได้ผลดีสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 14 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันกำลังเจริญเติบโต
  4. ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันทุก 6-12 เดือน

การรักษาอาการ ปวดฟัน ด้วยตนเอง

การใช้ไหมขัดฟันและการแปรงฟันเป็นประจำเพื่อกำจัดเศษอาหารที่ทำให้เกิดความระคายเคืองอาจช่วยลดอาการปวดฟันได้ การใช้ยาบรรเทาปวดอาจช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราว แต่ทางที่ดีควรจำกัดการใช้ยาเฉพาะที่ที่มี Benzocaine

ขณะที่มีอาการปวด ให้กินยาแก้ปวด ระงับชั่วคราว ถ้ามีการอักเสบหรือเป็นหนอง ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวีอะม็อกซีซิลลิน  หรืออีริโทรไมซิน ควรแนะนำไปพบทันตแพทย์  เพื่อทำการอุดฟันหรือถอนฟัน

ปวดฟัน เมื่อไหร่ควรพบทันตแพทย์

ไปพบทันตแพทย์ในกรณีต่อไปนี้

  • มีอาการนานกว่า 1-2 วัน
  • ทำงานหรือกิจกรรมประจำวันไม่ได้

ไปพบทันตแพทย์ทันทีในกรณีต่อไปนี้

  • มีไข้
  • เหงือกแดงหรือบวมหรือสิ่งที่ไหลออกมามีกลิ่นเหม็นเน่า
  • กลืนหรือหายใจลำบาก
  • อาการบาดเจ็บของฟัน

โรคที่เกี่ยวกับอาการ ปวดฟัน

ฟันผุ

พื้นที่ในฟันที่เสียหายอย่างถาวรซึ่งเกิดเป็นรูเล็กๆ การแสดงอาการ:

  • ปวดฟัน
  • ฟันหลุด
  • เสียวฟัน

อาการเสียวฟันไวเกิน

ภาวะที่เจ็บปวดเมื่อมีการสัมผัสส่วนในของฟัน (เนื้อฟัน) การแสดงอาการ:

  • ปวดฟัน
  • ความเจ็บปวด

ฟันคุด

ภาวะที่ฟันไม่งอกขึ้นมาจากเหงือกได้เต็มที่ (ฟันขึ้น) การแสดงอาการ:

  • ปวดฟัน
  • ฟันผุ
  • เลือดออกตามไรฟัน

โรครำมะนาดการ

ติดเชื้อของเหงือกที่รุนแรงซึ่งทำลายเหงือกและอาจทำลายขากรรไกร การแสดงอาการ:

  • ปวดฟัน
  • ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
  • อาการบวม

เหงือกอักเสบ

โรคเหงือกชนิดหนึ่งที่ทำให้เหงือกอักเสบ การแสดงอาการ:

  • ปวดฟัน
  • เลือดออกตามไรฟัน
  • ฟันโยก

[Total: 2 Average: 5]