ระยะแรกเริ่มมักมีอาการอ่อนเพลีย เต้านมคัดและ เจ็บปัสสาวะบ่อย และมีอาการเบื่ออาหารหรืออยาก อาหารมากขึ้น ร่วมกับมีประวัติขาดประจำเดือนหรือประจำ เดือนเลยกำหนดเป็นสัปดาห์
ส่วนผู้ที่มีอาการแพ้ท้อง มักมีอาการคลื่นไส้ พะอืดพะอม บางครั้งอาเจียน ส่วนใหญ่มักเป็นมากตอนเช้า หลังตื่นนอน แต่ก็อาจมีอาการในช่วงกลางวันและตอนเย็นก็ได้ผู้ป่วยมักมีความรู้สึกไม่ชอบกลิ่นอาหาร (เช่น กาแฟ เนื้อ) กลิ่นน้ำหอมที่เคยชอบกลับไม่ชอบอยากกินของเปรี้ยว เช่น มะม่วง มะกอก มะดัน
เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นจะมีอาการท้องโต (ท้องป่อง) และอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
ข้อแนะนำ
1.ควรอธิบายให้หญิงตั้งครรภ์เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ภาวะเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ การดูแลรักษาครรภ์ และการปฏิบัติตัวต่าง ๆ การเตรียมตัวเตรียมใจในการคลอดและการเลี้ยง ดูทารก รวมทั้งประโยชน์และการเตรียมตัวในการเลี้ยง ทารกด้วยนมมารดา
2. สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ท้อง ควรให้ความมั่นใจว่า อาการจะหายได้เองภายหลังตั้งครรภ์ได้ 14 -16 สัปดาห์ ควรแนะนำให้สามีและญาติเห็นใจให้กำลังใจดูแลช่วย เหลือผู้ป่วย
3. อาการอาเจียน นอกจากเกิดจากภาวะแพ้ท้องแล้วยังอาจมีสาเหตุจากโรคตับโรคติดเชื้อทางเดิน ปัสสาวะ ตับอ่อนอักเสบ กระเพาะลำไส้อุดกั้น โรคทาง กระเพาะลำไส้โรคทางสมอง เป็นต้น ถ้าหากมีอาการ อาเจียนรุนแรงหรือต่อเนื่อง ก็ควรตรวจหาสาเหตุดังกล่าว
4. หญิงตั้งครรภ์มีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อของทาง เดินปัสสาวะได้ง่าย และบางครั้งอาจไม่มีอาการแสดงจึงควรตรวจปัสสาวะเป็นครั้งคราวขณะฝากครรภ์ หากพบจะได้ให้การรักษาเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน
5. ถ้าสัมผัสใกล้ผู้ป่วยหัดเยอรมันหรืออีสุกอีใสควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อตรวจดูว่ามีการติดเชื้อ ไวรัสเหล่านี้หรือไม่เพราะการติดเชื้อไวรัสเหล่านี้อาจทำให้ทารกพิการได้
6. ขณะตั้งครรภ์โรคบางชนิด เช่น ไมเกรน เยื่อบุมดลูกต่างที่ มักจะทุเลาหรือปลอดจากอาการได้ในไตรมาสที่ 2 และ 3 แต่หลังคลอดก็จะกำเริบได้ใหม่
7. ในปัจจุบันแพทย์สามารถทำการตรวจวินิจฉัย ทารกก่อนคลอด (prenatal diagnosis) ซึ่งมีอยู่หลายวิธี เช่น
- การตรวจกรองความผิดปกติของโครโมโซมและระบบประสาทของทารก เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down’ syndrome) ภาวะไม่มีสมอง(anencephaly) ความผิดปกติของไขสันหลัง (spina bifida) โดยการ เจาะเลือดมารดาตรวจระดับ alpha-fetoprotein(AFP) beta-HCG และ unconjugated estriol เทียบกับค่ามาตรฐาน
- มารดาที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป (ซึ่งเสี่ยงต่อมีบุตรเป็นกลุ่มอาการดาวน์) มารดาเคยคลอดบุตรที่มีโครโมโซมผิดปกติ มารดามีประวัติการแท้งเป็นอาจิณ บิดาและมารดาเป็นโรคหรือมียีนแฝงของทาลัสซีเมีย (ซึ่งบุตรมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคทาลัสซีเมีย) ตรวจกรองเลือดมารดาแล้วพบความผิดปกติของโครโมโซม หรือตรวจอัลตราซาวนด์ แล้วพบความพิการ สูติแพทย์ จะทำการเจาะน้ำคร่ำ (amniocentesics) หรือเก็บตัวอย่างเนื้อรก (chorionic villus sampling) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม
8. การป้องกันความผิดปกติของทารก บางกรณี ควรกระทำตั้งแต่ก่อนจะตั้งครรภ์ เช่น
- ในรายที่ยังไม่เคยเป็นหัดเยอรมันและอีสุกอีใส (ตรวจเลือดไม่พบสารภูมิต้านทานต่อโรคเหล่านี้) ควรฉีดวัคซีนป้องกัน
- ป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาท (neural tube defect) เช่น spida bifida โดยการินกรดโฟลิก (folic acid) 4 มก.วันละครั้ง ตั้งแต่ 3 เดือนก่อนตั้งครรภ์จนกระทั้งพ้นระยะตั้งครรภ์ไตรมาสแรก