โรคโพรงประสาทส่วนเอวตีบแคบ คือ ภาวะที่มีการตีบแคบลงของโพรงที่เป็นช่องว่าง ตลอดความยาวภายในกระดูกสันหลัง ที่เรียกกันว่าโพรงกระดูกสันหลัง หรือโพรงประสาท (Spinal canal)
ซึ่งเป็นช่องทางผ่านของเส้นประสาทไขสันหลัง (spinal cord) โดยการตีบแคบอาจเกิดเพียงระดับเดียว หรือหลายระดับของโพรงกระดูกสันหลังก็ได้
ช่องโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ อาจเกิดจากภาวะกระดูกหนาตัวขึ้น, เอ็นหนาตัวขึ้น, หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน (ปวดหลังจากโรคหมอนรองกระดูกสันหลัง), กระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis ), หรือมีภาวะต่างๆ ดังกล่าวเกิดขึ้นร่วมกัน
โรคนี้พบได้บ่อยใน
- คนที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
- คนอ้วน
- โรคเบาหวาน และ
- ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
สาเหตุ โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบบริเวณเอว
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ที่พบได้ คือ
- จากความผิดปกติแต่กำเนิดของโพรงกระดูกสันหลัง
- จากการเสื่อมตามอายุ
- จากโรค/ภาวะอื่นๆ เช่น อุบัติเหตุบริเวณหลัง และโรคกระดูกต่างๆ (เช่น โรคกระดูกพรุน) และ
- บางครั้งแพทย์หาสาเหตุไม่พบ
อาการ โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบบริเวณเอว
โรคนี้ มักทำให้ผู้ป่วยเกิดมีอาการปวดหลังโดยอาจพบร่วมกับ อาการปวดร้าวลงขาข้างเดียว หรือ 2 ข้างพร้อมๆกันก็ได้, เดินแล้วมีกล้ามเนื้อขาอ่อนแรงหรือปวดขา ปวดน่อง จนต้องหยุดเดินเป็นพักๆ (Neurogenic claudication) ซึ่งเกิดจากเส้นประสาทเอวถูกกดทับ หรือภาวะขาดเลือดของเส้นประสาท, และพบบ่อยว่าทำให้เกิดอาการเดินลำบาก และส่งผลถึงการดำรง ชีวิตได้
นอกจากนั้น อาจมีอาการ ปวด ชา และ/หรือ รู้สึกหนักบริเวณก้น ร้าวลงขา ในขณะกำลังเดินหรือยืนนาน อาจมีอาการผิดปกติทาง ปัสสาวะ อุจจาระได้ (เช่น กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะไม่ออก และ/หรือ ท้องผูก) และอาจเกิดภาวะนกเขาไม่ขันได้ ทั้งนี้ อาการต่างๆมักดีขึ้นเมื่อก้มตัวหรือนั่งลง และมักไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อยมากเมื่อนั่งหรือนอนหงาย และ/หรือจะเดินได้ไกลมากขึ้น และปวดน้อยลง เมื่อก้มตัวไปด้านหน้า แต่อาการจะมากขึ้นเมื่อแอ่นหลัง
การป้องกัน โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบบริเวณเอว
ป้องกันโรคโพรงกระดูกสันหลังเอวตีบแคบได้ด้วยวิธีการเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวแล้ว ในหัวข้อการดูแลตนเอง ซึ่งที่สำคัญ คือ
- การควบคุมน้ำหนัก
- การออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวัน ตามควรกับอายุและสุขภาพ
- ปรับพฤติกรรมการใช้หลังให้ถูกต้อง
- การไม่สูบบุหรี่ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ได้ เพราะสารพิษในควันบุหรี่จะส่ง ผลให้เซลล์กระดูกเสื่อมได้เร็วขึ้น และยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนด้วย
การรักษา โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบบริเวณเอว
การรักษาโรคโพรงกระดูกสันหลังเอวตีบแคบประกอบด้วย การใช้ยา, การทำกายภาพ บำบัด, การผ่าตัด, และวิธีอื่นๆ
1.การรักษาด้วยยา เช่น
- ยาต้านการอักเสบเอ็นเสด เพื่อลดอาการปวดที่เล็กน้อยและปานกลาง ซึ่งผลข้างเคียงของยา เช่นปวดท้อง แผลในกระเพาะอาหาร ปัญหาทางตับ และไต
- ยาแก้ปวด ใช้เพื่อลดอาการปวด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol)
- ยาคลายกล้ามเนื้อ ใช้เพื่อลดการหดเกร็งตึงตัวของกล้ามเนื้อ อาการปวดที่เกิดจากการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ก็จะลดลงได้
- ใช้ยาหลายๆชนิดร่วมกัน เพื่อลดการปวด และลดการอักเสบ เช่น เอนเสด ร่วมกับยาคลายกล้ามเนื้อ
- ยาแก้ปวดชนิดแรง (เช่น กลุ่มมอร์ฟีน) ที่มีผลต่อสมองและไขสันหลัง เพื่อลดอาการปวด แต่เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการติดยา และใช้ยาเกินขนาด จึงต้องใช้ยาโดยแพทย์เป็นผู้สั่งเท่านั้น
- ยาต้านอาการซึมเศร้าบางชนิด (ที่ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาท) เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ
- ยากันชักบางชนิด (ที่ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาท) เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากเส้นประ สาทถูกกดทับ
2.การทำกายภาพบำบัด เพื่อรักษาอาการปวด เช่น การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยการใช้เครื่อง Transcutaneous electrical nerve stimulation (TENS), การนวด, การใช้คลื่น อัลตราซาวด์, การฝังเข็ม (Acupuncture), การดึงขยายข้อต่อกระดูกสันหลัง (Traction ), และการฝึกกล้ามเนื้อหลัง และขาให้มีความแข็งแรง เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดี 3. การผ่าตัด จะใช้เมื่อการใช้ยา และการทำกายภาพบำบัดไม่ได้ผล, อาการที่เกิดขึ้นมีผลรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน, และมีการเสียการควบคุมระบบขับถ่าย โดยจุดประสงค์ของการผ่าตัด เพื่อลดการกดทับต่อเส้นประสาทและต่อไขสันหลัง และให้กระดูกสันหลังมีความมั่นคง เป็นการผ่าตัดเพื่อเอากระดูกสันหลังทางด้านหลัง (Lamina) ออก เพื่อลดการกดทับต่อเส้นประ สาท รวมไปถึงการตัดกระดูกที่งอกออก (ถ้ามีกระดูกงอก) และ/หรือการเอาหมอนรองกระดูกสันหลังที่แตก/ที่เสื่อมออก ในผู้ป่วยที่มีการกดทับเส้นประสาทจากหมอนรองกระดูกฯ นอกจาก นั้น การผ่าตัดอาจใช้เทคนิค การผ่าตัดเชื่อมกระดูก (Fusion) ที่พิจารณาในรายที่มีการเสื่อมของกระดูกสันหลังอย่างมาก จนกระดูกสันหลังสูญเสียความมั่นคง และ/หรือในรายที่ผ่าตัดเอากระดูกที่กดทับเส้นประสาทออกแล้ว กระดูกสันหลังสูญเสียความมั่นคง คือ เคลื่อนที่ได้ง่าย 4. การรักษาวิธีการอื่นๆ ได้แก่
- การออกกำลังกาย คนไข้ส่วนใหญ่จะถูกแนะนำให้ออกกำลังกายเป็นประจำ มีการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นประจำ จะช่วยลดการบาดเจ็บบริเวณหลัง อย่างไรก็ตามควรออกกำลังกายที่ทำให้สนุกสนาน ทำง่าย และเหมาะสมกับอายุและสุขภาพร่างกาย เพื่อจะทำให้ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ และไม่มีผลเสียต่อข้อกระดูกต่างๆ เช่น การว่ายน้ำ การเดินเร็ว การวิ่งเหยาะ
- การลดน้ำหนัก จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ เพราะกระดูกสันหลังไม่ต้องรับน้ำหนักมาก
- ปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการอื่นๆ เช่น การใช้สายรัดหรือเข็มขัดรัดหน้าท้อง เพื่อช่วยลดอาการปวดหลัง เป็นต้น