มะเร็งปากมดลูก คือ โรคมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุด ของมะเร็งในผู้หญิงไทย พบมากในช่วงอายุ 35-60 ปี แต่ก็อาจพบในคนอายุน้อย (เช่น 20 ปี) ก็ได้
ผู้ป่วยมักมีประวัติมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุต่ำกว่า 17 ปี มีคู่นอนหรือสามีหลายคน หรือมีสามีที่มีความสำส่อนทางเพศ เชื่อว่าทำให้มี่ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส เอชพีวี ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก
ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่าประมาณร้อยละ 70 ของ ผู้ป่วยโรคนี้มีความสัมพันธ์กับการอักเสบเรื้อรังของปากมดลูกจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (human papilloma virus/HPV) ชนิด 16 และ 18 ซึ่งเป็นคนละสายพันธุ์กับชนิดที่ทำให้เกิดหูดและหงอนไก่ (ส่วนใหญ่จากเอชพีวีชนิด 6 และ11) โรคนี้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ระยะแรกเริ่ม จะไม่มีอาการแสดง (สามารถตรวจพบโดยการตรวจแพ็ปสเมียร์) เมื่อมะเร็งลุกลามมากขึ้นจะพบว่ามีอาการเลือดออกจากช่องคลอด (บางรายเข้าใจว่ามีประจำเดือนออกมากหรือกะปริดกะปรอย) หรือ มีเลือดออกภายหลังการร่วมเพศ บางรายอาจมีอาการตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีเลือดปน หรือตกขาวปริมาณมาก
ผู้ที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน อาจสังเกตว่าหลังจากหมดประจำเดือนไปนาน 6 เดือนหรือเป็นปี กลับมีประจำเดือนมาใหม่ แต่ออกมากและนานกว่าปกติ
ระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลามไปมากแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องน้อย ปวดหลัง ก้นกบ หรือต้นขา ปัสสาวะเป็นเลือด อุจาระเป็นเลือด ขาบวม เกิดภาวะไตวาย เนื่องจากทางเดินปัสสาวะอุดกั้นจากก้อนมะเร็ง
อาจป้องกันโดยวิธีเหล่านี้
ผู้หญิงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหามะเร็งระยะแรกด้วยวิธีแพ็ปสเมียร์ ดังนี้
แพทย์จะทำการวินิจฉัย โดยการขูดเซลล์เยื่อบุ ปากมดลูกนำไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ดังที่เรียกว่า แพ็ปสเมียร์ (Pap smear) ทำการใช้กล้องตรวจปากมดลูก(colposscopy)แล้วตัดชิ้นเนื้อพิสูจน์ ถ้าพบว่าเป็นมะเร็ง ก็จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดอาจให้รังสีบำบัด (ฉายรังสี ใส่แร่เรเดียม) และ/หรือเคมีบำบัดร่วม ด้วย ทั้งนี้ขึ้นกับระยะของโรค
ผลการรักษา หากพบระยะแรกๆ การรักษามัก จะได้ผลดีหรือหายขาดได้เป็นส่วนใหญ่ มีอัตรารอดชีวิตเกิน 5 ปี ถึงร้อยละ 60 – 95 ถ้าพบระยะ 3 และ 4 การรักษาอาจช่วยให้มีอัตรารอดชีวิตเกิน 5 ปี ประมาณร้อยละ20 – 50