โรคลำไส้แปรปรวน

โรคลำไส้แปรปรวน หรือโรคไอบีเอส (IBS : Irritable Bowel Syndrome) เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งลำไส้ โดยที่ไม่พบความผิดปกติอะไรที่โครงสร้างของอวัยวะในระบบทางเดินอาหารและไม่มีพยาธิสภาพอื่นใด

มักพบมากในช่วงวัยรุ่นตอนปลายถึงช่วงประมาณอายุ 40 ปี โดยเฉพาะในผู้ป่วยเพศหญิง อาจไม่ทำให้เกิดอันตราย แต่จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วยได้

สาเหตุ โรคลำไส้แปรปรวน

          ในปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่นอน  แต่จากการศึกษาพบว่าปัจจัยที่เป็นสาเหตุของโรคนี้มี 3 อย่างที่สำคัญได้แก่

  1. การบีบตัวของลำไส้ใหญ่ผิดปกติ  เป็นผลมาจากการหลั่งสารหรือฮอร์โมนที่ผิดปกติบางอย่างในผนังลำไส้  ทำให้เกิดอาการปวดแน่นท้อง  ท้องผูก  หรือท้องเสียได้
  2. ระบบประสาทที่ผนังลำไส้ไวต่อสิ่งเร้า  หรือตัวกระตุ้นมากผิดปกติ  ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ ได้แก่  อาหารเผ็ด, กาแฟ, แอลกอฮอล์ทุกชนิด, ช็อกโกแลต  เป็นต้น  รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์  ได้แก่  ความเครียด  ความวิตกกังกล  เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นก็ทำให้ผนังลำไส้บีบตัวผิดปกติ  ทำให้เกิดอาการปวดท้อง  ท้องผูก  หรือท้องเสียได้
  3. เป็นผลหลังมีการติดเชื้อในลำไส้  ปัจจัยนี้พบในผู้ป่วย IBS  ในเขตร้อน  เช่น ประเทศไทย  ซึ่งหลังจากทุเลาจากภาวะลำไส้อักเสบแล้ว  หนึ่งในสามของผู้ป่วยจะมีอาการของลำไส้แปรปรวนกำเริบ

อาการ โรคลำไส้แปรปรวน

ในผู้ที่ป่วยลำไส้แปรปรวนจะมีอาการ

  • ไม่สบายท้อง
  • แน่นท้อง
  • ท้องอืด
  • ท้องเฟ้อ
  • มีแก๊สในท้องมาก
  • ปวดท้องมากหลังรับประทานอาหาร

และอาการจะดีขึ้นหลังการขับถ่าย ท้องผูก ท้องเสีย ท้องผูกสลับกับท้องเสีย อุจจาระแข็งหรือนิ่มกว่าปกติ อุจจาระไม่สุด อุจจาระมีเมือกใสหรือสีขาวปนออกมา อั้นอุจจาระไม่อยู่ หรืออาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น หมดแรง ปวดหลัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรืออาจรู้สึกเจ็บที่อวัยวะเพศขณะมีเพศสัมพันธ์ในผู้ป่วยที่เป็นเพศหญิง เป็นต้น

การรักษา โรคลำไส้แปรปรวน

โดยหากมีอาการไม่มาก แพทย์จะทำการรักษาด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไข้ เช่นการรับประทานอาหารสด สะอาดครบหมวดหมู่ไม่อิ่มจนเกินไป รับประทานอาหารที่มีใยอาหาร ไม่ทานอาหารรสเผ็ด เปรี้ยว เพราะร่างกายจะทำงานหนักทำให้ปรับสมดุลไม่ทัน และควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่ทำให้แก๊สในลำไส้เยอะ เช่น หอมหรือกระเทียม ของดอง กาแฟ น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ กะหล่ำปลีเพราะอาหารจำพวกนี้จะกระตุ้นให้เกิดอาการมากขึ้นได้ เนื่องจากมีใยอาหารและแป้งมากทำให้ลำไส้ดูดซึมไม่หมด จึงเหลือตกค้างในลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดการหมักหมมจนเกิดก๊าซ นอกจากนั้นควรหาเวลาพักผ่อนจิตใจ ดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย สบายๆกับการใช้ชีวิตและควรหลีกเลี่ยงยาที่ระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้อง อืดแน่นท้อง และอย่าเครียดวิตกกังวลคิดมากเพราะจะทำให้ลำไส้บีบตัวผิดปกติได้

แต่หากเกิดอาการมากจนถึงขั้นรุนแรง คนไข้ที่มีอาการท้องเสีย ท้องผูก หรือท้องเสียสลับท้องผูก และแบบที่อาการไม่ชัดเจน แพทย์จะใช้ยาในการรักษา เช่น หากคนไข้ที่มีอาการปวดท้องแพทย์จะให้ยาลดอาการปวดเกร็งได้ และมีกลุ่มยาที่รักษาอาการท้องเสีย ลดความถี่ในการถ่ายอุจจาระ ทำให้อุจจาระดีขึ้น นอกจากนี้ยังมียาปฏิชีวนะลดอาการติดเชื้อ บรรเทาอาการท้องอืด อุจจาระเหลว ส่วนรายที่ท้องผูกแพทย์จะเลือกใช้ยาเพิ่มใยอาหารในลำไส้ ซึ่งจะทำให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง ลดอาการปวดได้ และให้ยาเพิ่มน้ำในลำไส้ เพื่อให้อุจจาระนิ่มลง โดยยาที่ได้ผลกับคนไข้คนหนึ่ง อาจไม่ได้ผลกับคนไข้อีกคนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับลักษณะอาการที่พบเจอ ซึ่งควรใช้ยาตามคำแนะนำแพทย์

[Total: 0 Average: 0]