พิษคางคก คือ ต่อมเมือกใกล้หู (parotid gland) ของคางคกจะขับเมือก (เรียกว่า ยางคางคก) ที่มีสารพิษ (bufotoxins/ toad toxins) ซึ่งประกอบด้วยสารเคมี หลายชนิดที่มีผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย ที่สำคัญคือ กลุ่มดิจิทาลอยด์ ซึ่งออกฤทธิ์คล้ายดิจิทาลิส ทำให้เกิดพิษร้ายแรง ต่อหัวใจ ถึงเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ ยังมีสาระสำคัญอื่น ๆ เช่น กลุ่มคาเทโคลามีน (catecholamines) ที่มีผลต่อหัวใจและหลอดเลือด และกลุ่มอินโลไคลามีน (indolekylamines) ซึ่ง มีฤทธิ์ทำให้มีอาการประสาทหลอน
พิษมีอยู่ในหนัง เลือด ไข่ และเครื่องในของคางคก แทบทุกชนิดที่มีในบ้านเรา พิษมีความทนต่อความร้อน การบริโภคคางคกที่ทำให้สุกแล้วก็เกิดพิษได้ เด็กจะทนต่อพิษคางคกได้มากกว่าผู้ใหญ่ ในบ้านเรามีรายงานผู้ที่ป่วยและตายจากการบริโภคคางคกเป็นครั้งคราว
อาการ พิษคางคก
ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงคล้ายได้รับพิษดิจิทาลิส เกินขนาด อาการจะเกิดขึ้นช้า ๆ หลังจากกินคางคก หลายชั่วโมง แรกเริ่มจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน บางรายอาจมีอาการปวดท้อง ท้องเดินร่วมด้วย
ต่อมาจะมีอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ เห็นภาพเป็นสีเหลือง มีการเปลี่ยนแปลงของระดับสติ เริ่มจากอากาสับสน เพ้อ ง่วงซึม มีอาการประสาทหลอน หรือ อาการทางจิต จนในที่สุดมีอาการชัก หมดสติ ที่ร้ายแรง คือ หัวใจเต้นช้า และเต้นผิดจังหวะใน ที่สุดเกิดภาวะหัวใจห้องล่างเต้นระรัว (ventricular fibrillation) และเสียชีวิตในเวลารวดเร็วจากภาวะหัวใจวาย หรือการไหลเวียนล้มเหลว
การป้องกัน พิษคางคก
- หลีกเลี่ยงการกินคางคกทุกชนิด ไม่ว่าจะปรุง หรือเตรียมให้สุกด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม
- หลีกเลี่ยงการกินยาจีนหรือยาแผนโบราณที่มีส่วนประกอบของคางคกผสม
การรับพิษคางคกส่วนใหญ่เกิดจากการกินคางคก ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่มีรายงานว่าในสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยด้วยพิษคางคกจากการกินยาจีนที่ทำจากหนังคางคก (เชื่อว่าเป็นยาบำรุงทางเพศ) ดังนั้นจึงควรมีความระมัดระวังในการใช้ยาแผนโบราณเป็นอย่างยิ่ง
การรักษา พิษคางคก
หากสงสัย เช่น มีอาการอาหารเป็นพิษ ร่วมกับระดับสติเปลี่ยนแปลง มีอาการทางจิต หรือชีพจรเต้นช้า และมีประวัติกินคางคก ควรให้การปฐมพยาบาล แล้วรีบส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที
แพทย์จะวินิจฉัยโรคนี้จากลักษณะอาการและประวัติ การกินคางคกเป็นสำคัญ ในบางแห่งอาจทำการตรวจหาสารดิจิทาลิสในเลือดและมักจะทำการติดตามประเมิน อาการด้วยการตรวจคลื่นหัวใจ และตรวจหาระดับโพแทสเซียมเป็นระยะๆ
การรักษา ให้การรักษาขั้นพื้นฐาน ถ้าพบว่าคลำชีพจรไม่ได้หรือหยุดหายใจให้ทำการกู้ชีพ
นอกจากนี้จะให้การักษาแบบประคับประคอง เช่น ในรายที่ชีพจรเต้นช้า ให้อะโทรพีน ถ้าไม่ได้ผล อาจต้องใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker)
ในรายที่ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ให้ยาแก้ไข เช่น ลิโดเคน (lidocaine) เฟนิโทอิน ควินิดีน อะมิโอดาโรน (amiodarone) เป็นต้น