หลอดเลือดดำบริเวณขา บางครั้งอาจเกิดลิ่มเลือดขึ้นอยู่ภายในหลอดเลือด ถ้าเกิดที่หลอดเลือดดำบริเวณผิว มักจะทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดร่วมด้วย เรียกว่า หลอดเลือดดำส่วนผิวอักเสบมีลิ่มเลือด (superficial thrombophlebitis)*
แต่ถ้าเกิดที่หลอดเลือดดำส่วนที่อยู่ลึกในกล้ามเนื้อ(ส่วนใหญ่เกิดที่บริเวณน่อง) มักไม่มีอาการอักเสบร่วม ด้วยเรียกว่า ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด ลิ่มเลือดอาจหลุดลอยเข้าไปในปอดเป็นอันตรายได้
ภาวะนี้มักพบในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เลือดแข็งตัวง่ายหรือไหลเวียนช้า ดังนั้นจึงพบบ่อยในผู้สูงอายุผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด กินยาเม็ดคุมกำเนิด หรือไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอยู่นาน ๆ
สาเหตุ ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด
เกิดจากมีลิ่มเลือด (blood clot หรือ thrombus) ก่อตัวขึ้นในหลอดเลือด ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงมากมาย เช่น
- การไม่ได้ลุกขึ้นเดินเป็นเวลานาน เช่น นั่งรถ
- หรือเครื่องบินระยะทางไกล
- การนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงนาน ๆ เช่น ผู้ป่วย
- หลังผ่าตัด กระดูกหัก หรือเป็นโรคหัวใจ
- ผู้ป่วยที่รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก
- ผู้ป่วยที่มีแขนขาเป็นอัมพาต
- ผู้ป่วยเป็นมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งตับอ่อนที่ทำให้เลือดแข็งตัวง่าย
- ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทนสำหรับหญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งทำให้เลือดแข็งตัวง่าย
- หญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดใหม่ๆซึ่งจะทำให้มีแรงดันสูงในหลอดเลือดดำที่บริเวณเชิงกรานและขา
- ผู้สูงอายุโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทีภาวะขาดน้ำหรือ สูบบุหรี่
- ผู้ที่รูปร่างอ้วน
- การมีภาวะบาดเจ็บต่อหลอดเลือดดำ เช่น การผ่าตัดหลอดเลือด หรือฉีดสารระคายเคืองเข้าหลอดเลือด
- การมีความผิดปกติที่ทำให้เลือดจับเป็นลิ่มง่าย หรือมีประวัติพ่อแม่พี่น้องมีภาวะเลือดจับเป็นลิ่มง่าย
อาการ ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด
ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด จะไม่มีอาการแสดงใด ๆ จนกว่ามีภาวะแทรกซ้อนที่ปอดก็จะมีอาการเจ็บหน้าอก
ส่วนกลุ่มที่มีอาการจะรู้สึกปวดหน่วง ๆ ตึง ๆ หรือเจ็บบริเวณน่อง หรือข่าข้างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเดิน ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลัน และอาจมีอาการบวมที่ข้อเท้า เท้า หรือตันขาร่วมด้วย
การป้องกัน ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด
- โรคนี้อาจมีอันตรายร้ายแรงได้ หากสงสัย เช่น มีอาการปวดเจ็บน่องและขาบวมข้างหนึ่ง เกิดขึ้นฉับพลัน ก็รีบไปโรงพยาบาลโดยเร็ว
- ผู้ป่วยที่รับสารกันเลือดเป็นลิ่ม อาจมีเลือดออกได้ง่าย ควรระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุหรือบาดแผล และถ้ามีเลือดออก ควรรีบไปโรงพยาบาล
- อาการขาบวมข้างหนึ่ง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ที่สำคัญคือ ทางเดินน้ำเหลืองอุดกั้น ซึ่งอาจเกิดจากมะเร็งภาวะแทรกซ้อนจากการ ฉายรังสี การติดเชื้อ (เช่น โรคเท้าช้าง) สาเหตุเหล่านี้มักไม่มีอาการเจ็บปวดอย่างไรก็ตาม เมื่อพบอาการขาบวมข้างหนึ่งก็ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ
1.สำหรับผู้ที่นั่งรถหรือเครื่องบินควรป้องกันไมให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ โดยการปฏิบัติดังนี้
- ถ้านั่งเครื่องบิน ควรลุกขึ้นเดินในห้องน้ำโดยสารทุก ๆ ชั่วโมง ถ้านั่งรถ ทุก ๆ ชั่วโมงควรหยุดรถ และเดินไปมารอบรถสักครู่
- ขณะนั่งอยู่กับที่ หมั่นบริหารขาโดยการงอเหยียดข้อเท้าขึ้นลง 10 ครั้ง
ในกรณีโดยสารเครื่องบินนานเกิน 6 ชั่วโมงควรปฏิบัติเพิ่มเติม ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าหรือเข็มขัดรัดเอว
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
2. ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยอัมพาต คนอ้วน ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทน ควรมีการออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกาย (เช่น เดิน) อยู่บ่อย ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ (อย่าให้ร่างกายมีภาวะขาดน้ำ) หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หมั่นบริหารขาโดยการงอ - เหยียดข้อเท้าขึ้นลง
3. สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เคยมีภาวะหลอดเลือดดำมีลิ่มเลือดมาก่อน มีภาวะเลือดจับเป็นลิ่มง่าย ผู้ที่ต้องรับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก ผู้ป่วยโรค หัวใจหรืออัมพาต เป็นต้น ถ้าจำเป็นต้องรับการผ่าตัด หรือเข้าพักรักษาตัว (นอนบนเตียง) ในโรงพยาบาลนาน ๆ แพทย์อาจพิจารณาให้สารกันเลือดจับเป็นลิ่มป้องกัน
การรักษา ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด
หากสงสัย ควรส่งโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง แต่หากมีอาการเจ็บหน้าอก หรือหายใจหอบร่วมด้วยควรส่งโรงพยาบาลด่วน
แพทย์จะทำการวินิจฉัยด้วยการตรวจ อัลตราซาวด์ (Doppler ultrasonography) การถ่ายภาพรังสีเลือดดำด้วยการฉีดสารทึบรังสี (venography) ในกรณี สงสัยว่าอาจมีภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอดก็จะทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม
การรักษา มักจะต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลโดยให้ผู้ป่วยนอนพักและยกเท้าสูง 6 นิ้วให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม ได้แก่ เฮพาริน (heparin) ฉีดเข้าใต้ผิวหนังแล้วให้กินยาเม็ดวาร์ริน (warfarin) ต่อซึ่งอาจต้องกินนาน 2-6 เดือน ยานี้ทำให้เลือดออกได้ง่าย จำเป็นต้องตรวจเลือดดู clotting time แล้วปรับขนาดยาให้เหมาะสม
การรักษาอื่น ๆ ได้แก่ การพันด้วยผ้าพันแผลชนิด ยืด หรือการสวมใส่ถุงเท้าชนิดยืด (elastic stoching) เพื่อแก้ไขอาการบวมและป้องกันภาวะแทรกซ้อน การผ่าตัดเอาลิ่มเลือดออกบางกรณีอาจสอดใส่ “ตัวกรอง (filter)ไว้ในท่อเลือดดำส่วนล่าง (inferior vena cava) เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ่มเลือดหลุดลอยเข้าปอด