ในคนปกติ เมื่อลุกขึ้นยืนจะทำให้มีเลือดคั่งที่เท้า เป็นเหตุให้ปริมาตรของเลือดที่ไหลเวียนในกระแสเลือดลดลง ร่างกายจะเกิดการปรับตัวโดยอัตโนมัติ ให้หลอดเลือดแดงหดตัวทันที เพื่อให้ความดันโลหิตอยู่ในภาวะปกติ
แต่ผู้ป่วยบางรายไม่สามารถปรับตัวได้ตามปกติ ดังนั้น ขณะที่เปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่ายืนจะมีภาวะ ความดันต่ำกว่าปกติทันที ทำให้มีอาการหน้ามืด วิงเวียน คล้ายเป็นลมชั่วขณะเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ เราเรียกภาวะความดันต่ำขณะที่ลุกขึ้นนี้ว่า ความดันตกในท่ายืน(postural/orthostatic hypotension) อัตราการเต้นของชีพจร (เช่น โพรพราโนลอล ให้ต่ำลง เพื่อลดแรงดันต่อหลอดเลือด รูปริที่ผนังหลอดเลือดจะ ปิดได้เองในที่สุด เมื่ออาการหายดีแล้ว แพทย์จะนัดมาตรวจทุก 3-6 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยดี พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 30 อาจเกิดภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองในระยะต่อมา ซึ่งต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
ส่วนน้อยที่พบว่ามีภาวะแทรกซ้อนหรือมีการลุก-ลามมากยิ่งขึ้น แพทย์จะทำการผ่าตัดแก้ไขโดยด่วน แบบเดียวกับชนิดเอ ซึ่งมีอัตราการอยู่รอดเกิน 5 ปี ร้อยละ 50-70
ผู้ป่วยที่เป็นภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ชนิดบี หากไม่ได้รับการรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเลย มีอัตราตายประมาณร้อยละ 10-20 จากผนังหลอดเลือดแตก และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
ที่พบบ่อย ได้แก่ อายุมาก ปริมาตรของเลือดลดลงจากภาวะตกเลือด (เช่น มีเลือดออก ถ่ายอุจจาระดำ) หรือภาวะขาดน้ำ (เช่น ท้องเดิน อาเจียนรุนแรง) การใช้ยา (เช่น ยาลดความดัน ยากลุ่มไนเทรตที่ใช้รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ยาขับปัสสาวะ ยานอนหลับ ยาแก้ซึมเศร้า ยาเลโวโดพาที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสัน) ประสาท อัตโนมัติเสื่อม (ANS neuropathy) จากเบาหวานหรือโรคพิษสุราเรื้อรัง
นอกจากนี้ ยังอาจพบในผู้ป่วยที่ขาดอาหาร ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ โรคแอดดิสัน โรคพาร์กินสัน กลุ่มอาการกิลเลนบาร์เรเนื้องอกของต่อมหมวกไตฟีโอโครโมไซโตมา ภาวะหัวใจวายรุนแรง โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ (arotic stenosis) บางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
มีอาการหน้ามืด วิงเวียน จะเป็นลมขณะที่ลุกขึ้น นั่งหรือยืนทุกครั้ง อาจรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่า ตาลายร่วมด้วย สักครู่หนึ่งก็หายเป็นปกติ ในรายที่เป็นมาก ๆ อาจมีอาการหมดสติ หรือชัก ร่วมด้วย เมื่อล้มตัวลงนอนก็จะหายได้เอง
ในรายที่มีอาการบ่อย ๆ แพทย์อาจให้ยากลุ่ม mi-neralocorticoid เช่น ฟลูโดรคอร์ติโซน (fludrocortisone) 0.1- 0.2 มก.วันละ 1ครั้ง หรือให้ยาหดหลอดเลือด เช่น เอฟีดรีน (ephedrine) 15-30 มก.หรือไมโดดรีน (midodrine) 2.5-10 มก.วันละ 3 ครั้ง
ผลการรักษาขึ้นกับสาเหตุ บางอย่างก็ได้ผลดีหรือ หายขาด บางอย่าง (เข่น ถ้าพบในผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย) ก็อาจได้ผลไม่ดีนัก