การผ่าตัดกระเพาะ แบบ Minimal Invasive Sleeve Gastrectomy

การผ่าตัดกระเพาะ ( Sleeve Gastrectomy) เป็นวิธีการหนึ่งประเภทของการรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีการผ่าตัด (Bariatric Surgery) โดยการตัดเอาเนื้อกระเพาะ ตามแนวยาวของกระเพาะออกบางส่วน เพื่อลดขนาดกระเพาะอาหารให้เล็กลง ด้วยการผ่าตัดด้วยกล้องแผลน้อย เพื่อให้รับประทานได้น้อยลง สำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วน จะช่วยลดปริมาณอาหารที่รับประทานเข้าไป ซึ่งการตัดกระเพาะจะทำให้ผู้ที่ตัดกระเพาะไปแล้วนั้น สามารถประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก มีน้ำหนักที่ลดลง จากการศึกษาพบว่า การผ่าตัดกระเพาะ แบบ Sleeve Gastrectomy ปลอดภัยกว่า ปัญหาแทรกซ้อนน้อยกว่าการทำ Bypass. สามารถทำให้คนอ้วนที่มี โรคความดันโลหิต เบาหวาน หลังตัดกระเพาะจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน

การผ่าตัดกระเพาะแบบ Minimal Invasive Sleeve Gastrectomy เป็นการผ่าตัดเอากระเพาะอาหารออกประมาณ 70-85 เปอร์เซ็นต์ กระเพาะอาหารที่เหลือจะลักษณะคล้ายกล้วย การผ่าตัดกระเพาะแบบ Sleeve Gastrectomy แตกต่างจากขั้นตอนการผ่าตัดลดความอ้วนด้วยวิธีอื่นๆ เนื่องจากการผ่าตัดวิธีนี้อาหารเข้าสู่กระเพาะอาหารใหม่ จากนั้นอาหารจะไปตามเส้นทางเดินอาหารเดิมปกติ จึงไม่มีปัญหาในการดูดซึม การผ่าตัดกระเพาะแบบ Sleeve Gastrectomy ทำให้ช่วยลดปริมาณอาหาร (และแคลอรี่) ที่บริโภคได้ และยังส่งผลต่อฮอร์โมนในลำไส้ Gut Hormone ซึ่งส่งผลต่อหลายปัจจัยเช่นความหิว,ความอิ่ม และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การผ่าตัดกระเพาะอาหารยังช่วยควบคุมโรคเบาหวานประเภท 2 ได้อีกด้วย หลังผ่าตัดจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและกินได้น้อยลง

 

ข้อดี การผ่าตัดกระเพาะ แบบ Minimal Invasive Sleeve Gastrectomy

  • ผ่าตัดด้วยกล้อง แผลเล็กมาก Minimal Invasive Surgery
  • ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า การผ่าตัดกระเพาะแบบอื่นๆ เพียง 3-4 วัน ในโรงพยาบาล
  • กระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลง รับประทานอาหารได้น้อยลง รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
  • เกิดการสลายไขมันอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำหนักตัวหายไปอย่างรวดเร็ว
  • ไม่มีสิ่งแปลกปลอมในกระเพาะเช่น Balloon หรือนอกกระเพาะ เช่น ตัวรัดกระเพาะ
  • ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีของฮอร์โมนในลำไส้ Gut Hormone มีปริมาณน้อยลง ไม่ไปกระตุ้นการอยากอาหาร ไม่ค่อยหิว และเวลากินจะกินได้น้อยลง

ข้อเสีย การผ่าตัดกระเพาะ แบบ Minimal Invasive Sleeve Gastrectomy

  • เมื่อตัดกระเพาะแล้วจะไม่สามารถทำให้กระเพาะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
  • อาจทำให้เกิดการขาดวิตามิน หรือสารอาหารบางอย่าง ในระยะยาว

ใครเหมาะสมกับการผ่าตัดกระเพาะ

  1. เป็นโรคอ้วน และมี BMIสูง มากกว่า 40 ขึ้นไป
  2. มี BMI ระหว่าง 30 – 40 แต่มีภาวะที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เช่นโรคเบาหวานประเภท 2 หรือความดันโลหิตสูง
  3. อายุไม่เกิน 65 ปี
  4. สุขภาพร่างกายแข็งแรงพอที่จะ ดมยาสลบได้
  5. เป็นคนอ้วน ที่เคยลดน้ำหนักวิธีต่างๆแล้วไม่ได้ผล เช่นการอดอาหาร การออกกำลังกาย หรือใช้ยา
  6. มีวินัยในการดูแลสุขภาพ ควบคุมการรับประทานอาหาร ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และโภชนากร และ พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง

          ต้องมาปรึกษาแพทย์หากคุณคิด ว่าการผ่าตัดลดน้ำหนักอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณ หากคุณมีคุณสมบัติที่พร้อมสำหรับการรักษา เราสามารถแนะนำคุณเพื่อรับการประเมินเพื่อตรวจสอบในการผ่าตัดได้

การเตรียมตัวผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบ Minimal Invasive Sleeve Gastrectomy

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการผ่าตัด  ซึ่งประกอบด้วย

  1. นักโภชนบำบัด
  2. นักจิตวิทยา
  3. อายุรแพทย์ที่ชำนาญในการดูแลผู้ป่วยภาวะอ้วน
  4. ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำผ่าตัดในผู้ป่วยภาวะอ้วน 

การขอคำปรึกษา และการปฏิบัติตัว

  1. นักโภชนบำบัดจะอธิบายว่าควรทานอาหารมากน้อยแค่ไหนหลังทำการผ่าตัด และก่อนผ่าตัดจะต้องลดน้ำหนักเท่าไร
  2. นักจิตวิทยา  ช่วยในเรื่องการลดความเครียดที่อาจมีมากขึ้นในช่วงก่อน-หลังผ่าตัด
  3. แพทย์อายุรกรรม  จำเป็นต้องตรวจสุขภาพให้คำปรึกษาการรักษาเพิ่มเติม  หรือให้คำปรึกษาทางยาในการลดน้ำหนักบ้างก่อนการผ่าตัด และดูแลโรคที่มาพร้อมกับความอ้วน
  4. แพทย์ผ่าตัด  อธิบายถึงทางเลือกกับผู้ป่วยว่าการทำผ่าตัดแต่ละแบบมีข้อดี  ข้อเสียอย่างไร  เพื่อผู้ป่วยจะพิจารณาได้ว่าวิธีใดเหมาะสมกับตน

ขั้นตอนการผ่าตัดกระเพาะ แบบ Minimal Invasive Sleeve Gastrectomy

การผ่าตัดกระเพาะแบบ Sleeve Gastrectomy minimal invasive surgery จะผ่าตัดโดยการส่องกล้อง ใช้เวลาในการผ่าตัด 2-3 ชั่วโมง

  1. ดมยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์
  2. ศัลยแพทย์จะทำการเปิดแผลเล็ก ๆ 4จุด บริเวณหน้าท้อง จากนั้นจะสอดกล้องขนาดเล็ก (laparoscope) และเครื่องมือเล็กๆ อื่นๆ เข้าไปในแผลเหล่านี้เพื่อผ่าตัดเอาส่วนหนึ่งของกระเพาะออกประมาณ 70 % ออกทางรูแผลที่เจาะไว้ และเย็บกระเพาะอาหาร จะทำให้ได้กระเพาะอาหารที่เล็กลง

การดูแลหลังผ่าตัดกระเพาะ แบบ Minimal Invasive Sleeve Gastrectomy

  • อาจมีสายเดรน ระบายน้ำเล็กๆ เพื่อระบายของเหลวส่วนเกินออกไป
  • อาจมีสายสวนที่ระบายปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะ
  • งดออกกำลังกายและยกของหนัก อย่างน้อย 1 เดือน
  • ตัดไหมหลังผ่าตัด 7 วัน
  • ทานอาหารเหลว ประมาณ 4-6 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด
  • เมื่อคุณรับประทานอาหารได้ปกติ สิ่งสำคัญคือต้องทานอาหารที่มีประโยชน์ ต่อสุขภาพ เพื่อช่วยในการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง
  • กลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ภายใน 2-4 สัปดาห์หลังการผ่าตัดกระเพาะ
  • มาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
  • ออกกำลังกายเมื่อรู้สึกดีขึ้น มีโปรแกรมการออกกำลังกาย สำหรับผผ่าตัดกระเพาะโดยเฉพาะ
  • ต้องเข้ามารับการดูแลเรื่องโภชนาการจากนักโภชนาต่อหลังผ่าตัด 1 เดือน

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้หลังผ่าตัดกระเพาะ

  1. มีเลือดออก
  2. มีการติดเชื้อ
  3. กระเพาะอาหารใหม่รั่ว (tear in bowels)
  4. ต้องทำการผ่าตัดใหม่
  5. ความเสี่ยงจากการดมยาสลบ

           หลังผ่าตัด อาจมีภาวะแทรกซ้อนสำคัญที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ อาจมีเลือดอุดตันที่เท้า ปอด หัวใจ, เกิดโรคปอดบวม, ทางเดินปัสสาวะอักเสบ คล้ายการทำผ่าตัดทั่วไป แต่ภาวะแทรกซ้อนอาจน้อยลงหากการทำผ่าตัดลดน้ำหนักทำในสถานพยาบาล/ศูนย์ที่มีแพทย์, ทีมที่เชี่ยวชาญ และมีเครื่องมือแพทย์พร้อม มีการติดตามผู้ป่วยหลังผ่าตัดสม่ำเสมอ โดยมีทีม รวมทั้งพยาบาลผู้ดูแลที่ได้รับการฝึกฝนในการดูแลผู้ป่วยประเภทนี้เป็นพิเศษ รวมทั้งแพทย์ดมยามีความเชี่ยวชาญในการดมยาผู้ป่วยอ้วนเป็นอย่างดี

ผลลัพธ์หลังการผ่าตัดกระเพาะ

          ผลดีของการผ่าตัดกระเพาะ คือน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว ลดโรคที่เกี่ยวกับโรคอ้วน และอันตรายจากโรคอ้วนได้ ทำให้ร่างกายดูดี ลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง นอนกรน ทำให้ใช้ยาลดน้ำหนักลดลงหรือไม่ต้องใช้ยาลดน้ำหนักอีก รวมถึงลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ มะเร็งได้

[Total: 0 Average: 0]