อาการแพ้ยา (Drug Allergy)

อาการแพ้ยา (Anaphylaxis or Drug Allergy) เกิดขึ้นจาก การตอบสนองที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อต้านยาที่ได้รับเข้าไป เนื่องจากร่างกาย ไม่สามารถรับสารนั้น ๆ ได้ จึงเกิดปฎิกริยาต่าง ๆ แสดงออกมาทางร่างกาย หรือผิวหนังเช่นแพ้ยาผื่นขึ้นตามตัว อาการหน้าบวม แพ้ยานี้อาจจะมีอาการเล็กน้อยไปจนถึงขั้นรุนแรง อาจจะถึงชีวิตได้ ดังนั้นหากผู้ป่วยแพ้ยา (Drug Allergy) ควรปรึกษาแพทย์ทันที การแพ้ยาผื่นขึ้นนับว่าเป็นอาการเบื้องต้นที่เกิดขึ้นบ่อยในผู้ป่วยหลายราย แต่ทั้งนี้ไม่ควรเพิกเฉยควรที่จะแจ้งให้แพทย์ทราบ

สาเหตุของอาการแพ้ยา

แพ้ยาอาจจะเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ การแพ้ที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำปฎิกริยากับสารตัวนั้น ๆ ที่ร่างกายรับเข้าไปและ ร่างกายต่อต้าน หรืออีกอย่างคือยาที่ใช้นั้นมีฤทธิ์รุนแรงเกินไป และส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงเพราะหากยาฤทธิ์แรงเกินไปอาจจะทำให้ความดันสูงขึ้นผิดปกติ และส่งผลให้ร่างกายมีปฎิกริยาต่าง ๆ แสดงขึ้นมา การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันนี้นำไปสู่การอักเสบ หรือเกิดอาการเช่นมีผื่นไข้ หายใจลำบาก หลายคนแพ้ยาได้หลายชนิดหรือแม้แต่ยาทั่วไปที่บุคคลใช้กัน เช่นบางคนมีอาการแพ้ยาแก้อักเสบทั่วไป 

แพ้ยาเป็นอันตรายหรือไม่

อาแพ้ยาขึ้นอยู่กับอาการซึ่งอาจจะมีอาการเพียงเล็กน้อย แค่มีผื่นคัน หรืออาการที่รุนแรงมากขึ้นอาจจะถึงชีวิตได้เช่น ตัวบวม ระบบทางเดินหายใจติดขัด อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ แพ้ยาอาจจะเกิดขึ้นได้ทันทีหรือหลังจากการทานยาภายใน 12 ชั่วโมง 

อาการแพ้ยา

อาการของคนแพ้ยาเบื้องต้นที่ไม่เป็นอันตรายอาจจะเกิดอาการ

  • ผิวมีผื่นแดง ผื่นแพ้ยา  
  • มีจุดแดงตามตัว
  • น้ำมูกไหล
  • จาม
  • คันตามตัว หรือดวงตามีน้ำตา
  • ปากพอง
  • ตาบวมข้างเดียว หรือสองข้าง
  • หน้าบวมข้างเดียวหรือสองข้าง

อาการแพ้ยาที่มีความอันตรายมากอาจจะแสดงอาการดังนี้

หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้น  ควรเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน  หากแพ้ยา (Drug Allergy) ตาบวมเป่งควรไปหาแพทย์โดยด่วนและไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ  สาเหตุผื่นแพ้บางครั้งอาจจะมาจากหลายสาเหตุอาจจะอาการแพ้ยาหรือไม่ใช่จึงควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจ

รักษาอาการแพ้ยา

วิธีแก้อาการแพ้ยานั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ด้วยปฏิกิริยาการแพ้ที่รุนแรงต่อยาผู้ป่วยอาจต้อง งดใช้ยานั้น ๆ  แพทย์อาจทำการเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่น หรือหากมีปฎิกริยาทางผิวหนังวิธีการรักษาอาการแพ้ยาเบื้องต้นอาจจะซื้อยาทาแก้แพ้มาทาผิวโดยให้แพทย์หรือเภสัชกรณ์สั่งจ่ายยาให้เพื่อรักษาผื่นแพ้ยา (Anaphylaxis)

แต่ถ้าหากผู้ป่วยแพ้ตัวนั้น ๆ ไม่มากนัก แพทย์อาจสั่งยาให้แต่จะสั่งยาเพิ่มเพื่อควบคุมอาการแพ้ ยาบางชนิดสามารถช่วยป้องกันการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันและลดอาการ ยาเหล่านี้รวมถึง:

Antihistamines

ร่างกายของผู้ป่วยจะผลิตฮิสตามีนเมื่อคิดว่ามีสารจากการแพ้ เช่นสารก่อภูมิแพ้ ฮิสตามีนที่ปล่อยออกมาอาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่นบวมคันหรือระคายเคือง antihistamine จะทำการบล็อกการผลิตของฮีสตามีและลดการเกิดอาการแพ้ 

Bronchodilators

หากแพ้ยาทำให้เกิดอาการหายใจดังเสียงฮืดหรือไอแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาขยายหลอดลม ยานี้จะช่วยเปิดทางเดินหายใจของคุณและทำให้หายใจง่ายขึ้น ยาขยายหลอดลมมาในรูปแบบของเหลวและผงสำหรับใช้ในเครื่องช่วยหายใจหรือเครื่องพ่น

Corticosteroids

แพ้ยาอาจทำให้เกิดการติดขัดของทางเดินหายใจและอาการรุนแรงอื่น ๆ Corticosteroids ช่วยลดการอักเสบที่นำไปสู่ปัญหาเหล่านี้ Corticosteroids อยู่ในรูปแบบ ยาสเปรย์พ่นจมูกยาหยอดตาและครีม 

 อาการแพ้ไม่รุนแรง

  • อาการแพ้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการแพ้แค่เพียงเล็กน้อย หลังจากเลิกใช้ยาที่แพ้แล้วก็ควรรับประทานยาแก้แพ้ เช่น ยาคลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine) โดยให้รับประทานวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 1/2-1 เม็ด จนกว่าจะหาย หรือฉีดยาไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) เข้ากล้ามเนื้อ
  • อาการแพ้ปานกลาง หรือรุนแรง ในกลุ่มที่มีอาการ ยากินจะไม่สามารถช่วยรักษาอาการได้แต่แพทย์โดยจะให้ยาอะดรีนาลีน (Adrenaline) 0.3-0.5 มิลลิกรัม หรือสเตียรอยด์ 1-2 หลอด ผ่านการฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือหลอดเลือด
  • อาการแพ้ในกลุ่มสตีเวนจอห์นสัน (Stevens Johnson Syndrome) อาแพ้ยา ปฏิชีวนะอย่างรุนแรง หากมีอาการแพ้ควรรีบรับประทานยาแก้แพ้ หรือสเตียรอยด์ แล้วนำส่งโรงพยาบาลในทันที เพราะอาจมีอาการติดเชื้อแทรกซ้อนทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษจนอาจจะทำให้เสียชีวิตได้
[Total: 0 Average: 0]