โรคไข้ไทฟอยด์ (Typhoid fever) คือการติดเชื้อแบคทีเรียที่ร้ายแรงซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านน้ำ และอาหารที่ปนเปื้อน โดยทำให้เกิดไข้สูง ปวดท้องและเบื่ออาหาร กรณีที่ผู้ป่วยไข้ไทฟอยด์ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของไข้ไทฟอยด์
ไข้ไทฟอยด์เกิดจากเชื้อ Salmonella typhi (S. typhi). แต่ไม่ใช้แบคทีเรียทีทำให้เกิดโรค Salmonella จากอาหาร
การติดต่อของเชื้อคือช่องทางปาก – อุจจาระ โดยแพร่กระจายในน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน นอกจากนี้ยังสามารถติดเชื้อจากการสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้อ
ผู้ป่วยไข้ไทฟอยด์บางคนแม้ไม่แสดงอาการแล้ว แต่ยังมีเชื้ออยู่ สามารถแพร่เชื้อให้กับคนอื่นๆ ได้ โดยจำนวนผู้ป่วยไข้ไทฟอยด์ทั่วโลกมีมากกว่า 26 ล้านคนต่อปี
อาการของไข้ไทฟอยด์
ไข้ไทฟอนด์อาการจะปรากฏหลังได้รับเชื้อ 1-2 สัปดาห์ โดยมีดังต่อไปนี้
ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงนั้นไม่ค่อยพบ แต่สามารถพบได้คือ เลือดออกในลำไส้ หรือลำไส้ทะลุ โดยสิ่งนี้สามารถนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดที่เป็นอันตรายถึงชีวิต อาการอื่นๆ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้องอย่างรุนแรง
ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้แก่
- โรคปอดอักเสบ
- การติดเชื้อในไต หรือกระเพาะปัสสาวะ
- ตับอ่อนอักเสบ
- กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
- เยื่อบุหัวใจอักเสบ
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- เพ้อ ภาพหลอน หวาดระแวง
การรักษาไข้ไทฟอยด์
การรักษาหลักของโรคไทฟอยด์ คือการให้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งมีทั้งรูปแบบกินและแบบฉีด ปัจจุบันพบเชื้อดื้อยามากขึ้นเรื่อยๆ การจะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใดก็ต้องดูผลการทดสอบการดื้อยาของเชื้อด้วยการรักษาแบบประคับประคองก็จะทำควบคู่ไปกับการรักษาหลัก เช่น การให้ยาลดไข้พาราเซตามอล (Paracetamol) ยาแก้ปวด การให้กินน้ำเกลือแร่ หรือให้ทางหลอดเลือด
นอกจากนี้ ก็เป็นการรักษาตามภาวะแทรกซ้อน(ผลข้างเคียง) ที่เกิดขึ้น เช่น ถ้ามีลำไส้แตกทะลุ ก็ต้องผ่าตัดรักษา เป็นต้น