งูกัด (Snake Bite)

งูกัดคืออะไร ทุกปีมีการรายงานข่าวในสหรัฐอเมริกาที่พบว่าไม่ค่อนมีผู้เสียชีวิตจากการโดนงูที่มีพิษกัดแต่เมื่อโดนงูกัดควรได้รับการรักษาจากทีมแพทย์ฉุกเฉินเสมอ แม้ว่าถูกงูไม่มีพิษกัดก็ตามเนื่องจากสามารถทำให้เกิดอาการแพ้หรือติดเชื้อรุนเเรงได้ เมื่อถูกงูที่มีพิษกัดอาจทำให้เกิดอาการหลายอย่างได้แก่มีอาการเจ็บปวดบริเวณที่โดนงูกัดและมีอาการบวม มีอาการชัก คลื่นไส้อาเจียนหรือเป็นอัมพาตได้

การปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัดควรล้างแพทย์ให้สะอาด ทำใจให้สงบและไม่ขยับบริเวณที่ถูกงูกัด อย่างไรก็ตามควรไปพบเเพทย์ทันทีเนื่องจากถ้าหากรักษาได้ทันเวลา อาการทั้งหมดจะดีขึ้น

สาเหตุ งูกัด

งูจะกัดคนเพื่อป้องกันตัวเอง หรือเมื่อถูกรบกวนและทำให้ตกใจ โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนมักไปเหยียบหรือแหย่งูให้ตื่นกลัว ส่งผลให้งูกัดได้ หากถูกงูมีพิษกัด ร่างกายจะได้รับพิษงูที่ปล่อยเข้ามา ผู้ป่วยต้องรีบพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาทันที เนื่องจากพิษงูอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

อาการ งูกัด

ถ้าหากคุณไม่คุ้นเคยกับงูแต่ละประเภทที่มีความแตกต่างกันและไม่สามารถระบุลักษณะที่แตกต่างกันระหว่างงูมีพิษและงูไม่มีพิษได้จึงทำให้ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเมื่อถูกงูกัด ดังนั้นจึงควรรักษาแผลงูกัดเสมือนถูกงูที่มีพิษกันเสมอ

ในขณะที่งูในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่เป็นงูไม่มีพิษแต่ก็ยังมีงูหลายชนิดที่มีพิษ ในสหรัฐอเมริกางูทุกชนิดเป็นงูที่มีพิษเช่นงูประการังสีแดงและงูตะปะ ซึ่งงูตะปะมีลักษณะโดดเด่นคือบริเวณตาและจมูกมีลักษณะยุบลง โดยบริเวณที่ยุบลงเป็นหลุมเป็นส่วนที่ใช้รับความร้อนของงู ในขณะที่งูตะปะทั่วไปมีหัวเป็นรูปสามเหลี่ยมแต่ไม่ใช่งูที่มีหัวสามเหลี่ยมทุกตัวจะเป็นงูที่มีพิษ

ถ้าหากคุณหรือมีใครบางคนโดนงูกัด คุณจะสามารถรู้ได้ทันที เป็นไปได้ว่าเมื่อถูกงูกัดแล้ว งูสามารถหายไปได้รวดเร็วมาก 

วิธีระบุแผลงูกัดสามารถพิจารณาจากลักษณะทั่วไปดังต่อไปนี้ 

  • มีรอยเขี้ยวงูกัด 2 จุด
  • มีอาการบวมเเละแดงรอบๆแผล
  • มีอาการปวดบริเวณรอบๆที่ถูกงูกัด
  • หายใจลำบาก
  • คลื่นไส้และอาเจียน
  • มองเห็นภาพเบลอ
  • มีเหงื่อออกและน้ำลายไหล
  • มีอาการชาที่ใบหน้าและลำตัว

นอกจากนี้งูมีพิษอาจทำให้เกิดอาการที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดงู

งูหางกระดิ่ง

งูหางกระดิ่งเป็นงูที่มีลักษณะที่สังเกตุง่ายมากเนื่องจากเป็นงูที่มีกระดิ่งที่หางและหางจะสั่นเมื่อรู้สึกถูกคุกคาม โดยงูหางกระดิ่งจะสั่นเสียงกระดิ่งที่หางเพื่อให้คุณระวังตัวเช่นกัน งูหางกระดิ่งเป็นงูที่มีพิษมากที่สุดและมีผู้ที่ถูกงูหางกระดิ่งหลายรายในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากงูชนิดนี้มีถิ่นอยู่อาศัยทั่วประเทศ ซึงงูชนิดนี้ชอบอยู่ในที่โล่งและสามารถอยู่ท่ามกลางแสงแดดเช่นบริเวณโขดหินและท่อนไม้

อาการเฉพาะเมื่อถูกงูหางกระดิ่งกัดซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นทันทีได้แก่

  • อาการเจ็บปวดรุนเเรง
  • เปลือกตาปิดลง
  • ความดันเลือดต่ำ
  • กระหายน้ำ
  • เหนื่อยล้าและกล้ามเนื้ออ่อนเเรง

งูวอลเตอร์มอกคาซินเป็นงูตะปะชนิดหนึ่งหรือสามารถเรียกงูชนิดนี้ว่างูน้ำ cottonmouth เนื่องจากภายในปากของงูชนิดนี้มีเนื้อเยื่อสีขาวที่มีลักษณะเหมือนผ้าฝ้าย งูชนิดนี้มีขนาดประมาณ 50 – 55 นิ้ว โดยงูที่โตเต็มวัยจะมีผิวสีน้ำตาลไหม้ไปจนถึงสีดำและมีลายตามขวางเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำ ส่วนงูน้ำที่อายุน้อยจะมีลายขวางสีน้ำตาลหรือสีส้มและมีหายสีเหลือง งูชนิดนี้สามารถพบได้ที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกาโดยปกติมักอยู่ใกล้แหล่งน้ำ งูชนิดนี้ไม่กลัวอะไรง่ายๆและมักพยายามปกป้องตัวเองเมื่อถูกคุกคาม

เมื่อถูกงูวอลเตอร์มอกคาซินกัดจะมีอาการเหมือนกับงูทางมะพร้าว ซึ่งอาการเฉพาะที่เกิดขึ้นมีดังต่อไปนี้

  • มีอาการเจ็บปวดเฉียบพลัน
  • สีผิวเปลี่ยนไป
  • เกิดอาการช็อก
  • ความดันเลือดต่ำ
  • อ่อนแรง

งูทางมะพร้าว

งูทางมะพร้าวมีลักษณะเป็นสีแดงหรือสีทองและมีหัวเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยทั่วไปเเล้วงูชนิดนี้มีความยาวประมาณ 18 ถึง 36 นิ้ว โดยส่วนใหญ่งูทางมะพร้าวพบได้บริเวณป่า หนองน้ำ โขดหินและแม่น้ำในบริเวณภาคตะวันออกของประเทศ เช่นรัฐเท็กซัส งูชนิดนี้ไม่ใช่งูที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว งูทางมะพร้าวส่วนมากจะกัดคนโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อคนเหยียบโดนตัวงูหรืออยู่ใกล้งูชนิดนี้  

เมื่อถูกงูทางมะพร้าวกัดจะมีอาการเหมือนถูกงูวอลเตอร์มอกคาซินกัด ซึ่งอาการเฉพาะที่เกิดขึ้นมีดังต่อไปนี้

  • มีอาการเจ็บปวดเฉียบพลัน
  • สีผิวเปลี่ยนไป
  • เกิดอาการช็อก
  • ความดันเลือดต่ำ
  • อ่อนแรง

งูประการัง

งูประการังมีสีดำหรือสีเหลืองและมีลายสีแดง โดยปกติแล้วมักเกิดความสับสนระหว่างงูคิงส์สเน็กส์ซึ่งเป็นงูที่ไม่มีพิษ คุณสามารถแยกความแตกต่างของงูประการังด้วยเส้นสีแดงลายขวางที่มีขอบสีเหลือง งูชนิดนี้มักอาศัยอยู่ในท่อนไม้และหนองบึงรวมถึงบริเวณทะเลทรายทางตอนใต้ โดยปกติงูประการังจะซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นและกองใบไม้  

อาการเฉพาะที่เกิดขึ้นเมื่องูประการังกัดได้แก่

  • มีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้นแบบไม่เฉียบพลัน
  • มีอาการเกิดขึ้นภายหลังจากถูกกัดหลายชั่วโมง
  • มีอาการชักกระตุก
  • เปลือกตาย้อยคล้อย
  • ผิวหนังเปลี่ยนสี
  • ปวดท้อง
  • กลืนลำบาก
  • ปวดหัว
  • เกิดอาการช็อก
  • เป็นอัมพาต

การรักษา งูกัด

สิ่งสำคัญที่ควรทำเมื่อถูกงูกัดคือการเข้ารับการรักษาจากทีมแพทย์ฉุกเฉินโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ แพทย์จะทำการประเมินอาการผู้ที่ถูกงูกัดเพื่อตัดสินใจเลือกใช้วิธีรักษาที่เหมาะสม ในกรณีที่ถูกงูมีพิษกัดแต่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต ควรรุนเเรงขึ้นอยู่กับบริเวณที่ถูกงูกัดและอายุรวมถึงสุขภาพของผู้ที่ถูกงูกัด ถ้าหากแผลงูกัดไม่ก่อให้เกิดอันตราย แผลจะทำความสะอาดบาดแผลตามปกติและฉีดวัคซีนบาดทะยักให้คนไข้ 

แต่ถ้าหากแพทย์งูกัดเป็นอันตรายต่อชีวิต แพทย์จะฉีดเซรุ่มต้านพิษงูให้คนไข้ ซึ่งเซรุ่มทำมาจากพิษของงูที่ใช้รักษาแผลถูกงูกัด เมื่อผู้ป่วยได้รับเซรุ่มต้านพิษงูเเล้วจะมีอาการดีขึ้น

[Total: 0 Average: 0]