มะเร็งเป็นคำกว้าง ๆ ใช้เรียกกลุ่มของโรคที่เกิดจากความผิดปกติของดีเอ็นเอหรือสารพันธุกรรม ซึ่งส่งผลให้เซลล์มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์อย่างรวดเร็วและมากกว่าปกติ เกิดเป็นก้อนเนื้อผิดปกติ ลุกลามแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งการแพร่กระจายของมะเร็งนี่แหละที่เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต
วันมะเร็งโลก 2565 ไม่ได้แค่ทำให้ทุกคนตระถึงภัยอันตรายจากโรคมะเร็งเพียงอย่างเดี่ยวเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราไม่ลืมว่า ทุกวันนี้ยังมีผู้ป่วยมะเร็งอีกมากมายที่กำลังรอการรักษา หรือไม่มีโอกาสได้รักษาอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่างทั้งอุปกรณ์ บุคลากร และค่าใช้จ่าย ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญในการผลักดันความรู้ ความเข้าใจต่อโรคนี้อย่างจริงจัง และหวังว่าในอนาคต ผู้ป่วยทุกคนจะสามารถเข้าถึงการรักษาที่ดีได้นั่นเอง
มะเร็งที่พบในร่างกายมนุษย์มีมากกว่า 100 ชนิด ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ระบุว่ามะเร็งที่พบบ่อยในคนไทยคือ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้
ส่วนสถิติทั่วโลก ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า ในปี 2020 มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งราว 10 ล้านคน โดยมะเร็งที่พบมาก 3 อันดับแรก คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ แต่เมื่อดูสถิติผู้เสียชีวิตพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับ มากที่สุด นั่นก็เพราะมะเร็งแต่ละชนิดมีการดำเนินของโรคไม่เหมือนกัน ความยากง่ายในการรักษาก็แตกต่างกันไปด้วย
ลองไปดูกันว่าก้าวสำคัญของการแพทย์เกี่ยวกับมะเร็งมีวิวัฒนาการอย่างไรบ้างจนทำให้สามารถตรวจเจอและรักษาโรคที่มีมาแล้วกว่า 3,500 ปีได้
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ของทุกปี สมาพันธ์ควบคุมโรคมะเร็งสากล (Union for International Cancer Control : UICC) ได้กำหนดให้เป็น วันมะเร็งโลก หรือ World Cancer Day เพื่อสร้างความตระหนักถึงภัยของโรคมะเร็ง อันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประชากรทั่วโลก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งผลักดันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาโรคมะเร็งได้อย่างเท่าเทียม
รายงานประจำปีขององค์กรระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) เผยว่า ในปี พ.ศ. 2561 พบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มขึ้น 18.1 ล้านคนทั่วโลก และอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งพุ่งสูงขึ้นถึง 9.6 ล้านคน โดยเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่อยู่ในทวีปเอเชีย ทั้งนี้ สาเหตุการเกิดมะเร็งมีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิต อาหาร มลภาวะ รวมถึงการกลายพันธ์ุของยีน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์ในปัจจุบันช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งมีตัวเลือกนวัตกรรมการรักษาโรคมะเร็งหลากหลายกว่าในอดีต โดยการเข้าถึงการวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงที ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์การรักษาดียิ่งขึ้น ลดผลกระทบด้านจิตใจและด้านค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและผู้ดูแล รวมถึงลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและกำลังการผลิตของประเทศไทยลงได้
ผู้ป่วยโรคมะเร็งส่วนใหญ่ในประเทศไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค การรักษา และความคุ้มครองด้านสุขภาพจาก 3 กองทุน ได้แก่ สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ สิทธิประกันสังคม และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดังนั้น งานเสวนาเนื่องในวันมะเร็งโลก 4 กุมภาพันธ์ “Close the care gap ลดวิกฤติปัญหาผู้ป่วยมะเร็ง สู่ความเท่าเทียมด้านการรักษา” จึงจัดขึ้นเพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาชนทราบถึงภัยของโรคมะเร็ง ตระหนักถึงสิทธิการรักษาของตนเอง และร่วมมือกันเพื่อเสวนาหาแนวทางยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งให้ดียิ่งขึ้น
งานดังกล่าวได้รับเกียติจาก ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวเปิดงาน รวมถึง Mr.Omar Akhtar, HEOR Director APAC, Ipsos นำเสนอรายงานการศึกษา เพื่อแนะแนวทางเพิ่มการเข้าถึงการรักษาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วยมะเร็ง หรือ Modernization of Thai HTA-Identifying Alternative Approaches in Thai HTA to Improve Cancer Patient Outcomes และกล่าวสรุปโดย รศ.ภญ.ดร.ร.ต.ท.หญิง ภูรี อนันตโชติ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผศ.นพ.ธีรภัทร อึ้งตระกูล ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และพญ.จอมธนา ศิริไพบูลย์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ก่อนจะเข้าสู่การบรรยายโดย ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ ประธานกรรมการมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง เกี่ยวกับความพร้อม และความต้องการเชิงลึกของผู้ป่วยมะเร็งและบุคลากรการแพทย์ในประเทศไทย