ในปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมากกว่า 350 ล้านคน และกว่า 260 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 75 อาศัยอยู่ในทวีปเอเชีย ดังนั้น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน อาฟริกา รวมทั้งประเทศไทยจึงเป็นแหล่งที่มีโรคไวรัสตับอักเสบบีชุกชุมมาก โดยประชากรประมาณร้อยละ 3-6 มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งแสดงว่าประชากรประมาณ 2-4 ล้านคน มีเชื้อไวรัสบีที่พร้อมจะแพร่และก่อให้เกิดความเจ็บป่วยกับผู้อื่น
เพราะไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคติดต่อซึ่งแฝงอยู่ในสังคมของเรา หากชะล่าใจอาจต้องเสียใจที่หลัง เนื่องจากหากติดเชื้อแล้วอาจหายได้ยาก หากพูดถึงโรคติดต่อ หลายคนอาจมองข้ามไวรัสตับอักเสบบี เพราะแม้โรคนี้จะแฝงอยู่ในคนจำนวนมาก แต่ด้วยความที่ไม่ปรากฎอาการ จึงทำให้หลายคนมองข้ามและลืมฉีดวัคซีนทั้ง ๆ ที่เราสามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สาเหตุ ไวรัสตับอักเสบบี
- เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นเชื้อที่มีความคงทนสูง และทำลายได้ยาก การทำลายเชื้อต้องใช้วิธีต้มเดือดนานอย่างน้อย 30 นาที หรือนึ่งภายใต้ความดันสูงนาน 30 นาที หรืออบในตู้อบแห้งที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นานอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือโดยการแช่ในสารเคมี เช่น แช่ในโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 0.5% อย่างน้อย 30 นาที แช่ในฟอร์มาลิน 40% อย่างน้อย 12 ชั่วโมง หรือแช่ในแอลกอฮอล์ 70% อย่างน้อย 18 ชั่วโมง
- ไวรัส สามารถถ่ายทอดจากมารดาสู่บุตร ซึ่งเป็นสาเหตุการติดเชื้อที่สำคัญประการหนึ่งในประเทศไทย แต่ในปัจจุบันการถ่ายทอดจากมารดาที่ติดเชื้อสู่บุตรลดลงมาก เพราะบุตรที่คลอดออกมาจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ การฉีดวัคซีนให้ทารกที่คลอดมาจะช่วยป้องกันได้เกือบร้อยละ 10 การติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ยังถือเป็นวิธีการติดต่อที่สำคัญใน ปัจจุบัน ทั้งนี้เกิดจากการมีเพศสัมพันธุ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ได้ป้องกัน ซึ่งไวรัสตับอักเสบชนิดบี จะสามารถติดต่อได้ง่ายกว่าเชื้อไวรัสเอดส์
- การได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์ของเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้ติดเชื้อ การสัมผัสน้ำคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น เลือด น้ำเหลือง การติดเชื้อจากการไดรับเลือดพบได้น้อยมากในปัจจุบัน เนื่องจากระบบการตรวจกรองของธนาคารเลือดดีขึ้นมาก
- อาจติดต่อได้จากการสัก เจาะหู หรือการฝังเข็ม โดยอุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อไม่ถูกต้อง
อาการ ไวรัสตับอักเสบบี
ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 6-8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี อาจไม่มีอาการหรือมีอาการของโรคตับอักเสบฉับพลันแต่ไม่รุนแรง ได้แก่ อาการมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ตาและตัวเหลือง หรือมีอาการรุนแรง ตับโต จนถึงภาวะตับวายเฉียบพลัน ในผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะทุเลาลงในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ และหายภายใน 2 เดือน แต่มีผู้ที่ติดเชื้อร้อยละ 5-10 ไม่หายสนิท เกิดโรคตับอักเสบเรื้อรังตามมา ซึ่งในอีก 10 ถึง 20 ปีต่อมา อาจกลายเป็นโรคตับแข็ง และมะเร็งตับในที่สุด แต่ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ในวัยแรกเกิดมักไม่มีอาการ ซึ่งในกลุ่มนี้ร้อยละ 90 จะกลายเป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
การรักษา ไวรัสตับอักเสบบี
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรังสามารถให้การรักษาได้โดยให้ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน การรักษาสามารถป้องกันผลที่ตามมาของการติดเชื้อของตับได้ เช่น การดำเนินโรคของการเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับ อย่างไรก็ตามโดยปกติการรักษาไม่สามารถหยุดการเพิ่มปริมาณไวรัสได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงไม่สามารถหยุดการรักษาได้เนื่องจากปริมาณไวรัสจะกลับมาเพิ่มขึ้นใหม่ได้