การรักษา แผลเพ็ปติก

   1. ถ้ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำ  ควรส่งโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง ถ้ามีอาการหน้ามืด เป็นลม หรือช็อก
  ควรส่งโรงพยาบาลทันที

                   ถ้าเสียเลือดมากอาจต้องให้เลือด แล้วทำการตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

  2. ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง ปวดท้องติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมง อาเจียนรุนแรง หรือมีอาการท้องแข็งควรส่งโรงพยาบาลด่วน

ถ้าตรวจพบว่ามีภาวะแผลเพ็ปติกทะลุ หรือกระเพาะหรือลำไส้ตีบตัน จำเป็นต้องผ่าตัดด่วน

                   3. ถ้ามีอาการเบื่ออาหาร กลืนลำบาก น้ำหนักลดซีด ตาเหลือง ตับโต ม้ามโต คลำได้ก้อนในท้อง อาเจียน รุนแรง หรือสงสัยเป็นโรคหัวขาดเลือด หรือนิ่วน้ำดี หรือพบในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม หรือส่งโรงพยาบาล

                   4. ถ้ามีอาการปวดแสบหรือจุกเสียดตรงใต้ลิ้นปี่ก่อนหรือหลังอาหาร หรือตอนดึกๆ เป็นครั้งแรกให้ยาต้านกรด ร่วมกับยาลดการสร้างกรด เช่น รานิทิดีน ถ้ารู้สึกทุเลาหลังกินยาได้ 2-3 ครั้งควรกินต่อจนครบ 2 สัปดาห์ ถ้ารู้สึกหายดีควรกินยานานประมาณ 8 สัปดาห์

                   ถ้ากินยา 2-3  ครั้งแล้วยังไม่รู้สึกทุเลาแม้แต่น้อย  หรือลุเลาแล้วแต่กินจนครบ 2 สัปดาห์แล้วรู้สึกไม่หายดี หรือกำเริบ ซ้ำหลังจากหยุดกินยาจนครบ 8 สัปดาห์แล้ว ควรส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม

                   ในการวินิจฉัยแผลเพ็ปติกจำเป็นต้องอาศัยการตรวจพิเศษ เช่น การช็กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ (endoscoppy) การเอกซเรย์กระเพาะลำไส้โดยการกลืนแป้งแบบเรียม  การตรวจชิ้นเนื้อ การตรวจหาเชื้อเอชไพโลไร  เป็นต้น

การรักษา  เมื่อตรวจพบว่าเป็นแผลเพ็ปติก มีแนวทางการรักษาโดยสังเขปดังนี้

                  ก. แผลเพ็ปติกที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไพโลไร (จำเป็นต้องอาศัยการใช้กล้องส่อง และตรวจพบเชื้อเอชไพโลไร) การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาอาการปวดท้อง รักษาแผลให้หายและกำจัดเชื้อเอชไพโลไรโดยให้ยาดังนี้

                     (1) ยาลดการสร้างกรดออกฤทธิ์แรง (กลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊มป์)ได้แก่ โอเมพราโซล ครั้งละ 20 มก.วันละ 2 ครั้ง
ก่อนอาหารเช้าและเย็น นาน 6-8 สัปดาห์ ร่วมกับ

                     (2) ยาปฏิชีวนะ 2 ชนิดร่วมกัน สูตรใดสูตรหนึ่งดังต่อไปนี้ (โดยกินพร้อมอาหาร) นาน 10-14 วัน

  • เมโทรไนดาโซล ครั้งละ 500 มก.วันละ 2 ครั้ง และคลาริโทรไมซิน (clarithromycin) ครั้งละ 500 มก.วันละ 2 ครั้ง
  • อะม็อกซีซิลลิน ครั้งละ 1‚000มก. วันละ 2 ครั้ง  และคลาริโทรไมซิน ครั้งละ 500 มก.วันละ 2 ครั้ง
  • อะม็อกซีซิลลิน ครั้งละ 1‚000 มก.วันละ 2 ครั้ง และเมโทรไนดาโซล ครั้งละ 500 มก.วันละ 2 ครั้ง
  • เตตราไซคลีน 500 มก.วันละ 4 ครั้ง และเมโทรไนดาโซล ครั้งละ 250 มก.วันละ 4 ครั้ง ร่วมกับบิสมัทซับซาลิไซเลต (bismuth  sub salicylate) ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 4 ครั้ง

                  ข. แผลเพ็ปติกที่ไม่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไพโลไร เป็นแผลเพ็ปติกที่ตรวจไม่พบการอักเสบจากเชื้อเอชไพโลไร อาจมีสาเหตุจากการใช้ยาแอสไพริน หรือกลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ ควรให้การรักษาด้วยยาชนิดใดชนิดหนึ่ง ดังต่อไปนี้

  • โอเมพราโซล 20 มก.วันละ 1 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์ (สำหรับแผลลำไส้เล็กส่วนต้นที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน) หรือ 20 มก.วันละ 2 ครั้ง นาน 6-8 สัปดาห์ (สำหรับแผลกระเพาะอาหาร หรือแผลเพ็ปติกที่มีภาวะแทรกซ้อน)
  • ยาต้านเอช 2 เช่น รานิทิดีน (ranitidune) 300 มก.วันละครั้ง ก่อนนอน นาน 6 สัปดาห์ (สำหรับแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน) หรือรานิทิดีน 150 มก.วันละ 2 ครั้ง นาน 8-12 สัปดาห์ (สำหรับแผลกระเพาะอาหาร) ส่วนแผลเพ็ปติกที่มีภาวะแทรกซ้อนไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้
  • ซูคราลเฟต (sucralfate) ซึ่งเป็นยาปกป้องเยื่อบุกระเพาะลำไส้ ให้ครั้งละ 1 กรัม วันละ 4 ครั้งก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง และก่อนนอน  สำหรับแผลลำไส้เล็กส่วนต้นที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน

                   ค.ในรายที่เป็นเรื้อรังหรือเคยมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น หรือผู้สูงอายุ หรือในรายที่ยังสูบบุหรี่ อาจจำเป็นต้องกินยา
ต้านเอช 2 เช่น รานิทิดีน 150-300 มก.วันละครั้งก่อนนอนทุกวันติดต่อกันไปอีกสักระยะหนึ่ง (3-6) เดือนหรือเป็นปี) และอาจต้องใช้กล้องส่งตรวจและตรวจชิ้นเนื้อซ้ำจนกว่าแผลจะหายดี

                    ถ้าแผลเรื้อรังไม่ยอมหาย  อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

[Total: 0 Average: 0]