หืด คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังชนิดหนึ่ง ซึ่งมีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นเนื่องจากหลอดลมตีบเป็นครั้งคราว ทำให้มีอาการหายใจหอบเหนื่อย เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ส่วนมากมักจะไม่มีอันตรายร้ายแรง ยกเว้นในรายที่เป็นมากหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ก็อาจเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร หรือมีอันตรายถึงตายได้ บ้างเรียก “หอบ”
โรคนี้พบได้บ่อยในคนทุกวัย มีความซุกสูงสุดในช่วงอายุ 10-12 ปี ส่วนใหญ่มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่อายุก่อน 5 ปี ส่วนน้อยที่เกิดขึ้นครั้งแรกในวัยหนุ่มสาวและวัยสูงอายุ
- ในบ้านเราเคยมีการสำรวจนักเรียนในกรุงเทพฯ พบว่ามีความชุกของโรคนี้ประมาณร้อยละ 4–13
- ในวัยเด็ก (ก่อนวัยหนุ่มสาว) พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงประมาณ 1.5-2 เท่า
ทั่วโลกพบว่าโรคนี้มีแนวโน้มเกิดมากขึ้นในทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองที่มีสิ่งแวดล้อม(ได้แก่ มลพิษและสารก่อภูมิแพ้) และวิธีชีวิตที่ส่งเสริมให้เกิดโรคนี้
สาเหตุ หอบหืด
เกิดจากปัจจัยร่วมกันหลายประการ ทั้งทางด้านกรรมพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การติดเชื้อ และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดลมทำให้หลอดลมมีความไวต่อสิ่งเร้าต่างๆ มากกว่าคนปกติเป็นเหตุให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม (เสมหะ) มากในหลอดลม มีผลโดยรวมทำให้หลอดลมตีบแคบลงเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นชนิดผันกลับได้ (revesible) ซึ่งสามารถกลับคืนเป็นปกติได้เอง หรือภายหลังให้ยารักษา
บางรายอาจมีการอักเสบของหลอดลมอย่างต่อเนื่องนานเป็นแรมปี หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องโครงสร้างของหลอดลมจะค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงจนในที่สุดมีความผิดปกติ (airway remodeling) ชนิดไม่ผันกลับ (irreversible) ทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร
ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้อื่น ๆ (เช่น ไข้หวัด ภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้) ร่วมด้วย และมักมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายหรือญาติพี่น้องเป็นหืดหรือโรคภูมิแพ้อื่นๆ
นอกจากนี้ยังพบปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น ได้แก่ ทารกคลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักแรกเกิดน้อย ทารกที่มีมารดาสูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ การติดเชื้อไวรัสตั้งแต่เล็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวรัสอาร์เอสวี การสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ (ได้แก่ ไรฝุ่นบ้าน) ปริมาณมากตั้งแต่ในช่วงขวบปีแรก
อาการ หอบหืด
มักมีอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือหอบเหนื่อย ร่วมกับมีเสียงดังวี้ดคล้ายเสียงนกหวีด (ระยะแรกจะได้ยินช่วงหายใจออก ถ้าเป็นมากขึ้นจะได้ยินทั้งช่วงหายใจเข้าและออก ถ้าเป็นมากขึ้นจะได้ยินทั้งช่วงหายใจเข้าและออก) อาจมีอาการไอ ซึ่งมักมีเสมหะใสร่วมด้วย
บางรายอาจมีเพียงอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือไอเป็นหลัก โดยไม่มีอาการอื่นๆ ชัดเจนก็ได้ อาการไอดูคล้ายไข้หวัดหวัดภูมิแพ้ หรือหลอดลมอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกเริ่มของโรคนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการไอมมากตอนกลางคืนหรือเช้ามืด ในช่วงอากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน หรือวิ่งเล่นมาก ๆ เด็กเล็กอาจไอมากจนอาเจียนออกมาเป็นเสมหะเหนียว ๆ และรู้สึกสบายหลังอาเจียน
ผู้ป่วยอาจมีอาการภูมิแพ้ เช่น คัดจมูก คันคอ เป็นหวัดจามหรือผื่นคันร่วมด้วย หรือเคยมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน
ในรายที่เป็นเพียงเล็กน้อยถึงปานกลางมักจะมีอาการเป็นครั้งคราว และมักกำเริบทันทีเมื่อมีสาเหตุกระตุ้นผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบากจะลุกขึ้นนั่งฟุบโต๊ะหรือพนักเก้าอี้และหอบตัวโยน ในรายที่เป็นรุนแรงมักมีอาการต่อเนื่องตลอดทั้งวันจนกว่าจะได้ยารักษา จึงจะรู้สึกหายใจโล่งสบายเช่น ในช่วงที่ไม่มีอาการกำเริบ ผู้ป่วยจะรู้สึกสบาย เช่น คนปกติทั่วไป
ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคหืดรุนแรง เช่น เคยหอบรุนแรงจนต้องไปรักษาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลบ่อยเคยต้องใส่ท่อหายใจช่วยชีวิต ต้องใช้ยาสตีรอยด์ชนิดกินหรือฉีด หรือต้องใช้ยากระตุ้นบีตา 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น สูดมากกว่า 1-2 หลอด/เดือน ถ้าขาดการรักษาหรือได้รับยาไม่เพียงพอในการควบคุมอาการ อาจมีอาการหอบอย่างต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ ถึงวัน ๆ แม้จะใช้ยารักษาตามปกติที่เคยใช้ ก็ไม่ไดผล เรียกว่า ภาวะหืดดื้อ หรือ หืดต่อเนื่อง (status asthmaticus) ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและมีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดภาวะเลือดเป็นกรด มีอาการสับสน หมดสติ ในที่สุดหยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้น เสียชีวิต ในเวลารวดเร็ว
การป้องกัน หอบหืด
- โรคนี้แม้ว่าจะเป็นเรื้อรัง แต่หากได้รับการรักษาอย่างพอเพียงและต่อเนื่อง ก็มักจะควบคุมอาการได้ สามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติสุขเหมือนคนทั่วไปและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้
- ผู้ป่วยบางรายอาจมีเพียงอาการไอโดยไม่มีอาการหอบเหนื่อย หรือหายใจมีเสียงวี้ด ทำให้วินิจฉัยผิดและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการไอบ่อย ตอนกลางคืนหรือเช้ามืด ในช่วงอากาศเย็นหรืออากาศ เปลี่ยน หรือขณะวิ่งเล่นมาก ๆ ควรคิดถึงโรคหืดระยะแรกเริ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีประวัติโรคหืดในครอบครัวหรือมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้อยู่ก่อน หากไม่แน่ใจควรส่งไปตรวจเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล
- ผู้ป่วยโรคหืดอาจมีอาการกำเริบรุนแรงขณะตั้งครรภ์ หรือเข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาล ควรปรับยาให้สามารถควบคุมอาการได้ดี มิเช่นนั้นอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้
- ถ้าน้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรลดน้ำหนัก อาจช่วยให้อาการลุเลาได้
- ในรายที่ให้ยารักษาแล้วยังไม่สามารถควบคุมอาการได้ อาจเกิดจากการวินิจฉัยผิด มีภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในผู้สูงอายุ และมีประวัติสูบบุหรี่จัดมานาน) ผู้ป่วยสูบบุหรี่ การใช้ยาไม่ครบขนาดการสูดยาไม่ถูกวิธี การไม่ได้รักษาโรคที่พบร่วม (เช่นโรคกรดไหลย้อน โรคหวัดภูมิแพ้) การสัมผัสสาเหตุกระตุ้นการดื้อต่อสตีรอยด์ หรือเป็นโรคหืดที่รุนแรง ควรค้นหาสาเหตุ และให้แก้ไขตามสาเหตุ
- ผู้ป่วยที่มีอาการหอบเหนื่อยรุนแรง ห้ามให้ยานอนหลับ และควรหลีกเลี่ยงยาละลายเสมหะ (mucolytic drugs) ซึ่งอาจทำให้อาการเลวลงได้
- ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วย
- ควรติดตามรักษากับแพทย์เป็นประจำ และตรวจสมรรถภาพของปอดเป็นระยะเรียนรู้วิธีใช้ยาให้ถูกต้อง และใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ อย่าลดละยาตามอำเภอใจ หรือเลิกไปพบแพทย์ แม้ว่าจะรู้สึกสบายดีแล้วก็ตาม
- ควรพกยาบรรเทาอาการติดตัวเป็นประจำหากมีอาการกำเริบ ให้รีบสุดยา 2-4 หน (puff) ทันทีถ้าไม่ทุเลาอาจสูดซ้ำทุก 20 นาที อีก 1-2 ครั้ง ถ้ายังไม่ทุเลาควรไปพบแพทย์โดยเร็ว อย่าปล่อยให้หอบนานอาจเป็นอันตรายได้
- ควรดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ อย่าให้ขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ไอมีเสมหะเหนียว หรือมีอาการหอบเหนื่อย
- ทุกครั้งที่สูดยาสตีรอยด์ ควรบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ยาตกค้างที่คอหอย ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเชื้อราในช่องปาก
- ทุกครั้งที่สูดยาหรือยาลูกกลอนมาใช้เอง เพราะยาเหล่านี้มักมีสตีรอยด์ผสม แม้ว่าอาจจะใช้ได้ผล แต่ต้องใช้เป็นประจำ ซึ่งทำให้มีผลข้างเคียงร้ายแรงตามมาได้อย่างไรก็ตาม ถ้าเคยใช้ยาเหล่านี้มานาน ห้ามหยุดยาทันทีอาจทำให้มีอาการหอบกำเริบรุนแรงหรือเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ ได้ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อหาทางค่อยๆ ปรับลดยาลง
- ฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ (โดยการเป่าลมออกทางปาก ให้ลมในปอดออกให้มากที่สุด) เป็นประจำ จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่งสดชื่น อาจช่วยให้อาการดีขึ้นได้
การรักษา หอบหืด
1. เมื่อมีอาการหอบหืดกำเริบฉับพลัน ให้สูดยากระตุ้นบีตา 2) ทันที ถ้าไม่มียาชนิดสูด ให้ฉีดยากระตุ้นบีตา 2 เข้าใต้ผิวหนังแทน ถ้ายังไม่ทุเลา สามารถให้ยาสูดหรือยาฉีดดังกล่าวซ้ำได้อีก 1-2 ครั้งทุก 20 นาที
หากผู้ป่วยรู้สึกหายดี ให้ทำการประเมินอาการสาเหตุกระตุ้น และประวัติการรักษาอย่างละเอียด
ในกรณีที่มีประวัติเป็นโรคหืดและมียารักษาอยู่ประจำ ถ้าป่วยมีอาการตอนกลางวันไม่เกิน 2 ครั้ง/สัปดาห์ สามารถทำกิจกรรม ต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ และไม่มีอาการตอนกลางคืน ก็ให้การรักษาแบบกลุ่มที่ควบคุมโรคได้ โดยให้ใช้ยาที่เคยใช้อยู่เดิมต่อไป
ในกรณีที่ผู้ป่วยเพิ่งมีอาการครั้งแรกและไม่เคยได้รับยารักษามาก่อน ควรเริ่มให้การรักษาขั้นที่ 2 และถ้ามีอาการรุนแรงก็ควรเริ่มให้การรักษาขั้นที่ 3 ควรส่งตรวจสมรรถภาพของปอด ให้สุขศึกษาและคำแนะนำในการปฏิบัติตัวต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง และการหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้น
ควรติดตามผู้ป่วยทุก 1-3 เดือน เพื่อประเมินอาการและปรับเปลี่ยนขั้นตอนการรักษาที่เหมาะสม
2. ผู้ป่วยมีอาการกำเริบและมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ควรส่งโรงพยาบาลด่วน
- ไม่ตอบสนองต่อการรักษาข้างต้นภายใน 1-2 ชั่วโมง มีอาการหอบต่อเนื่องมานานหลายชั่วโมง หรือ มีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย
- มีอาการหอบรุนแรง ซี่โครงบุ๋ม ปากเขียว มีอาการสับสน ซึม หรือพูดไม่เป็นประโยค
- มีประวัติเคยเป็นโรคหืดรุนแรง เคยรับการรักษาในห้องอภิบาลผู้ป่วย (ไอซียู) เนื่องจากโรคหืดมาก่อน กำลังกินหรือเพิ่งหยุดกินยาสตีรอยด์ หรือใช้ยาบีตา 2 ออกฤทธิ์สั้นสูดบ่อยกว่าทุก 3–4 ชั่วโมง
- มีอาการหอบเหนื่อยที่สงสัยว่าเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ เช่น
- มีไข้และใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) หรือสงสัยว่าเป็นปอดอักเสบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ
- มีอาการเท้าบวม หลอดเลือดคอโป่ง ความดันโลหิตสูง หรือสงสัยมีภาวะหัวใจวาย
- มีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง มีประวัติเป็นโรคหัวใจ หรือสงสัยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย
แพทย์มักจะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลในรายที่ยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน อาจต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ปอด ตรวจสมรรถภาพของปอด ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ ตรวจคลื่นหัวใจ เป็นต้น
การรักษา ในรายที่วินิจฉัยว่าเป็นโรคหืดกำเริบรุนแรงหรือภาวะหืดต่อเนื่อง มีแนวทางในการรักษาดังนี้
- ให้ออกซิเจน และสารน้ำ (น้ำเกลือ)
- ให้ยาขยายหลอดลม ได้แก่ ยากระตุ้นบีตา 2 ออกฤทธิ์สั้น ชนิดสูด 2-4 หน (Puff) ทุก 20นาทีในชั่วโมงแรก ต่อไป 2-4 หน (puff) ทุก 3-4 ชั่วโมง สำหรับในรายที่เป็นรุนแรงเล็กน้อย หรือ 6-10 หน (Puff) ทุก 1-2 ชั่วโมง สำหรับในรายที่เป็นรุนแรงปานกลางถึงมาก
- ให้สตีรอยด์ชนิดสูดในขนาดสูงกว่าเดิม
- ในรายที่มีอาการรุนแรงปานกลางและมากให้สตีรอยด์ ชนิดฉีดหรือกิน อาจให้เมทิลเพร็ดนิโซโลน 40-60 มก.(เด็ก 1 มก/กก.) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำทุก 6 ชั่วโมง หรือในรายที่กินได้ ให้กินเพร็ดนิโซโลน 40-60 มก.(เด็กให้ขนาด 1-2 มก./กก/วัน) วันละครั้งเมื่ออาการดีขึ้น (มักได้ผลภายใน 36-48 ชั่วโมง) ก็ให้กินเพร็ดนิโซโลนต่อจนครบ 5 วัน
- ในรายที่หอบรุนแรงจนเกิดภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว อาจต้องใส่ท่อหายใจและเครื่องช่วยหายใจและแก้ไขภาวะผิดปกติต่าง ๆ พร้อมกัน
เมื่อควบคุมอากาได้แล้ว แพทย์จะนัดติดตามดูอาการภายใน 2-4 สัปดาห์
3. ผู้ป่วยที่เป็นโรคหืดทุกราย แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาระยะยาวเพื่อควบคุมอาการให้น้อยลง ป้องกันอาการกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน ฟื้นฟูสมรรถภาพของปอดให้กลับคืนสู่ปกติ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ป้องก้นการเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร โดยมีแนวทางการดูแลรักษาดังนี้
ก. ประเมินความรุนแรงของโรค โดยพิจารณาจากอาการแสดงร่วมกับการตรวจสมรรถภาพของปอด (ดูค่า FEV1 และ PEF)
ข. ให้ยารักษาโรคหืด ซึ่งมีการเลือกใช้ชนิดและขนาดของยาตามระดับของการควบคุมโรค ดังนี้
- กลุ่มควบคุมได้ ให้การรักษาตามขั้นตอนเดิมต่อไปอย่างน้อย 3 เดือน แล้วค่อยๆ ปรับลดขั้นตอนลงทีละน้อย (เช่น จากขั้นที่ 3 เดิมลงเป็นขั้นที่ 2 และ 1 ตามลำดับ) จนกว่าจะใช้การรักษาขั้นที่ต่ำสุดที่ยังสามารถควบคุมอาการได้
- กลุ่มควบคุมได้บางส่วน และกลุ่มควบคุมไม่ได้ ควรปรับเพิ่มขั้นตอนการรักษาจนกว่าจะสามารถควบคุมอาการได้ภายใน 1 เดือน ก่อนปรับยาควรทบทวนว่าผู้ป่วยมีการใช้ยาตามสั่ง และใช้ถูกวิธีหรือไม่รวมทั้งได้หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นหรือไม่ และแก้ไขให้รวมทั้งได้หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นหรือไม่ และแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน
หลังจากควบคุมอาการได้แล้ว ก็ควรติดตามผลการรักษาต่อไปทุก 1-3 เดือน และปรับขั้นตอนการรักษาให้เหมาะกับระดับของการควบคุมโรค ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยน (ดีขึ้นหรือเลวลง) ไปได้เรื่อย ๆ
ส่วนยาที่ใช้รักษาโรคหืด แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- ยาบรรเทาอาการ (reliever medication) นิยมใช้ยากระตุ้นบีตา 2 ออกฤทธิ์สั้นชนิดสูด ซึ่งออกฤทธิ์ขยายหลอดลมได้เร็ว และมีผลข้างเคียงน้อยกว่าชนิดฉีดและชนิดกิน ใช้สูดเมื่อมีอาการ และให้ซ้ำได้เมื่ออาการกำเริบ แต่ไม่ควรเกินวันละ 3-4 ครั้ง
ในรายที่สูดไม่ได้ อาจใช้ยากระตุ้นบีตา 2 ออกฤทธิ์สั้นชนิดกิน หรือที่โอฟิลลีนออกฤทธิ์สั้นชนิดกินแทน ส่วนยากระตุ้นบีตา 2 ชนิดฉีดจะใช้เฉพาะเมื่อมีอาการรุนแรงเฉียบพลัน
ในกรณีที่ใช้ยาสูดชนิดนี้เพียงอย่างเดียวไม่ได้ผลเต็มที่ อาจใช้ยาขยายหลอดลมกลุ่มแอนติโคลิเนอร์จิก ได้แก่ ไอพราโทรเพียมโบรไมด์ชนิดสูดแทนหรือใช้ร่วมกันซึ่งจะเสริมให้ควบคุมอาการได้ดีขึ้น
- ยาควบคุมโรค (controller medication)ผู้ป่วยที่ต้องให้การรักษาตั้งแต่ขั้นที่ 2 ถึง 5 แพทย์จะให้ยาควบคุมโรค ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดการอักเสบการบวมของผนังบุหลอดลม ยากลุ่มนี้ถือเป็นยาหลักในการรักษาโรคหืดเรื้อรัง ซึ่งเมื่อใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้ควบคุมโรคและลดการกำเริบของโรคได้ยากลุ่มนี้ได้แก่
- สตีรอยด์ชนิดสูด (inhaled glucocorticosteroid / ICS เช่น บีโคลเมทาโซนไดโพริโอเนตบูดีโซไนด์ ฟลูนิโชไลด์ ฟลูทิคาโซน ไตรแอมซิโนโลน อะเซโทไนด์ เป็นต้น มักใช้เดี่ยวๆ ในการรักษาขั้นที่ 2 และ 3 หรือใช้ร่วมกับยาอื่นในการรักษาขั้นที่ 3-5 ยากระตุ้นบีตา 2 ออกฤทธิ์นาน เช่น Formoterol หรือ salmeterol ชนิดสูด bambuterol ชนิดกิน เป็นต้น มักใช้ร่วมกับสตีรอยด์ชนิดสูดในการรักษาขั้นที่ 3-5
- ยาต้านลิวโคทรีน (leukotriene modi-Fier) เช่น montelukast หรือ zafirlukast ชนิดกิน เป็นต้น ยานี้สามารถใช้เดี่ยว ๆ
ในการรักษาขั้นที่ 2 หรือใช้ร่วมกับยาอื่นในขั้นที่ 3-5 ใช้ได้ผลดีในผู้ป่วยที่เป็นหืดจากยาแอสไพริน หรือการออกกำลังกาย รวมทั้งในรายที่มีโรคหวัดภูมิแพ้ร่วมด้วย
- ที่โอฟิลลีนออกฤทธิ์นานชนิดกิน มักใช้ร่วมกับยาอื่นในการรักษาขั้นที่ 3 – 5
- เพร็ดนิโซโลนชนิดกิน มักใช้ร่วมกับยาอื่นในการรักษาขั้นที่ 5 ขนาด 5 -10 มก.วันละครั้ง สักระยะหนึ่งจนกว่าจะดีแล้วจึงค่อยหยุดยา
- ยาต้านไอจีอี (amti-IgE) เช่น omali-zumab ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง มักใช้ร่วมกับยาอื่นในการรักษาขั้นที่ 5
โดยทั่วไป ถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษาขั้นที่ 3 แล้ว ยังควบคุมอาการไม่ได้ ควรส่งปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหือ เพื่อปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะสม
ในเด็กที่มีสาเหตุจากสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้และอาการไม่ดีขึ้นหลังการใช้ยาหรือไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียง
ของยา แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วย การขจัดภูมิไว (desensitization)
ค. ให้การรักษาโรคที่พบร่วม เช่น หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ โรคกรดไหลย้อน เป็นตัน
ง. แนะนำให้หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้นและการปฏิบัติตัวต่าง ๆ
จ. ติดตามผลการรักษาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องและทำการตรวจสมรรถภาพของปอดเป็นระยะ ในรายที่เป็นโรคหืดรุนแรง ควรให้ผู้ป่วยใช้มาตรวัดการไหลของ ลมหายใจออกสูงสุด (Peak flow meter) ไปตรวจเองที่บ้านทุกวัน เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและปรับยาให้เหมาะสม และผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง
ผลการรักษา ส่วนใหญ่สามารถควบคุมอาการได้ดี
ถ้ามีอาการเริ่มเป็นตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อโตขึ้นหรือ ย่างเข้าวัยหนุ่มสา อาการอาจทุเลาจนสามารถเหยุดการใช้ยาสูดบรรเทาอาการได้ แต่บางรายเมื่ออายุมากขึ้นก็อาจมีอาการกำเริบได้อีก
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีการอักเสบของหลอดลมอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่มีอาการหอบเหนื่อยแล้วหากขาดการให้ยาควบคุมโรค (ลดการอักเสบ) ก็อาจเกิดภาวะทางเดินหายใจผิดปกติและอุดกั้นในระยะยาวได้ ดังนั้น ถึงแม้จะมีอาการทุเลาแล้วก็ควรติดตามรักษากับแพทย์อย่าง
ต่อเนื่อง
ส่วยในรายที่มีอาการมาก จำเป็นต้องได้รับยาอย่างเพียงพอ หากขาดยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาสตีรอยด์มาก่อน ก็อาจมีอาการกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน ถึงขึ้นกลายเป็นภาวะหืดดื้อ เป็นอันตรายได้
ปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหอบหืดอย่างถูกต้องจะมีอัตราตายต่ำ