ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ คือ การหยุดหายใจ หรือหายใจแผ่วช่วงสั้น ๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยระหว่างนอนหลับ ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง ทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆโดยเฉพาะหัวใจ สมองและปอด ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงตายได้ ภาวะนี้พบบ่อยในคนอ้วน เพศชาย ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
ในกลุ่มผู้ชายสูงอายุและอ้วน พบภาวะหยุดหายใจขณะหลับประมาณร้อยละ 10 ขณะที่กลุ่มคนทั่วไปที่นอนกรน พบภาวะนี้เพียงร้อยละ 1
ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยดังต่อไปนี้
เมื่อมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้นเกิดขึ้นขณะนอนหลับ ก็จะทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจตามมา ซึ่งอาจแสดงอาการได้ 2 ลักษณะ ได้แก่
1. การหยุดหายใจ (apnea)ไม่มีลมหายใจเข้าออกทางจมูกหรือปาก เป็นเวลาอย่างน้อย10 วินาที
2. การหายใจแผ่ว (hypopnea) มีลมหายใจเข้าออกทางจมูกหรือปากลดลงอย่างน้อยร้อยละ 50 เป็น เวลาอย่างน้อย10 วินาที สังเกตได้จากการกระเพื่อมของหน้าอกและท้องลดลง
ขณะที่หยุดหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือดจะต่ำลง ทำให้อวัยวะต่างๆได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงน้อยลง เมื่อลดลงถึงระดับหนึ่ง สมองจะมีกลไกตอบสนองโดยอัตโนมัติ ปลุกให้ตื่นจากหลับ และทำให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้นตึงตัว เปิดช่องทางเดินหายใจให้ โล่ง (ผู้ป่วยจะมีอาการสะดุ้ง สำลักน้ำลายตนเอง หรือ หายใจเฮือกอย่างดัง และแรง) ผู้ป่วยก็จะกลับมาหายใจเป็นปกติ พอหลับไปได้สักพักหนึ่ง ก็เกิดภาวะหยุดหายใจอีก แล้วสมองก็จะปลุกให้ตื่นอีก เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งคืน อาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นมากกว่าชั่วโมงละ 10 ครั้ง ทำให้นอนหลับไม่เต็มที่ แต่ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวว่ามีการสะดุดของการนอนและเข้าใจว่าตัวเองนอนหลับได้ดี
ที่สำคัญ คือ ผู้ป่วยจะมีอาการนอนกรนเสียงดังสร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ร่วมกับมีการหยุดหายใจหรือหายใจแผ่วเป็นช่วง ๆ (ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ จะสังเกตเห็นหน้าอกและท้องไม่กระเพื่อมหรือกระเพื่อมน้อยลง) นานอย่างน้อย10 วินาที บางครั้งอาจนานถึง 1 นาที
ผู้ป่วยจะรู้สึกนอนไม่เต็มตื่น อ่อนเพลียหลังตื่นนอน ทั้งที่มีเวลานอนนานเพียงพอ บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะหลังตื่นนอนร่วมด้วย ผู้ป่วยมักมีอาการง่วงนอนบ่อย นั่งสัปหงก หรือหลับง่ายในช่วงเวลากลางวัน เช่น ขณะทำงาน เรียนหนังสือ นั่งคุยกับผู้อื่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หลังอาหารกลางวัน เป็นต้น บางครั้งมีอาการหลับในขณะขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรจนได้รับอุบัติเหตุ ผู้ป่วยมักมีอารมณ์หงุดหงิด หรืออารมณ์เสียง่ายเสียสมาธิ หลงลืมง่าย
ในเด็ก อาจมีอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนหรือปัสสาวะรดที่นอน นอนดิ้นไปดิ้นมา หลับไม่สนิท ผวาตื่นหรือฝันร้าย ร่างกายไม่แข็งแรงร่วมด้วย
1. อาการนอนกรน (snoring) มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดไม่อันตราย (ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพเพียงแต่สร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง) และชนิดอันตราย (ซึ่งมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย และส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย) ดังนั้น ถ้ามีอาการนอนกรน ควรสังเกตว่ามีภาวะหยุดหายใจ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ (เช่น ง่วงนอนหรือหลับง่ายในเวลากลางวันอารมณ์หงุดหงิด เสียสมาธิ หลงลืมง่าย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น) ร่วมด้วยหรือไม่ หากสงสัยว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวินิจฉัยและให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ
2. ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลดน้ำหนักตัว การไม่บริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน การงดบุหรี่ อาจทำให้อาการดีขึ้น หากจำเป็นควรใช้เครื่องอัดอากาศ (CPAP) เพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งจะช่วยให้อาการดีขึ้นแต่ต้องใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกคืน เมื่อหยุดใช้อาการมักลับมากำเริบได้อีก
3. การรักษาภาวะนี้ให้ได้ผลอย่างจริงจังจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะความดันโลหิตสูงที่พบร่วมด้วยก็จะหายได้ ในช่วงที่ยังมีความดันโลหิตสูง อาจจำเป็นต้องให้ยาลดความดัน
หากสงสัย ควรส่งปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มักจะทำการวินิจฉัยด้วยการตรวจความผิดปกติระหว่างการนอนหลับด้วยวิธีที่เรียกว่า “polysomnography (PSG)” โดยต้องไปนอนค้างที่โรงพยาบาล แล้วใช้อุปกรณ์ตรวจวัดลักษณะการหายใจ และการเปลี่ยนแปลงของหัวใจปอด สมอง การเคลื่อนไหวของแขนขา ระดับออกซิเจนในเลือด
การรักษา โดยทั่วไปจะเริ่มต้นด้วยการให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่
ถ้าไม่ได้ผล หรือมีอาการรุนแรง อาจให้การรักษาเพิ่มเติม ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายวิธี ดังนี้