ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ คือ การหยุดหายใจ หรือหายใจแผ่วช่วงสั้น ๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยระหว่างนอนหลับ ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง ทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆโดยเฉพาะหัวใจ สมองและปอด ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงตายได้ ภาวะนี้พบบ่อยในคนอ้วน เพศชาย ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

ในกลุ่มผู้ชายสูงอายุและอ้วน พบภาวะหยุดหายใจขณะหลับประมาณร้อยละ 10 ขณะที่กลุ่มคนทั่วไปที่นอนกรน  พบภาวะนี้เพียงร้อยละ 1

สาเหตุ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ              

ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยดังต่อไปนี้

  • อายุ คนที่มีอายุมาก เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อหย่อยยาน ทำให้ช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอแคบลงลิ้นไก่และลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย โรคนี้พบบ่อยในคนอายุ 40–70 ปี
  • เพศ พบภาวะนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เชื่อว่าฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจ    มีความตึงตัวที่ดีกว่า จึงมีการอุดกั้นทางเดินหายใจน้อยกว่าผู้ชาย  แต่หลังวัยหมดประจำเดือนผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้พอ ๆ กับผู้ชาย
  • ลักษณะโครงสร้างของกระดูกใบหน้า คนที่มีลักษณะคางสั้น กระดูกใบหน้าแบน จะมีช่องทางเดินหายใจส่วนต้นแคบกว่าปกติ
  • ความอ้วน คนที่อ้วนจะมีการสะสมไขมันมากที่ลำคอและทรวงอก ทำให้ช่องทางเดินหายใจส่วนต้นแคบลง  และการเคลื่อนไหวของหน้าอกน้อยกว่าปกติ
  • การบริโภคแอลกอฮอล์ ยากลุ่มประสาทและยานอนหลับ  ทำให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ รวมทั้งบริเวณลำคออ่อนแรง  เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย
  • การสูบบุหรี่ ทำให้ระบบทางเดินหายใจมีประสิทธิภาพลดลง
  • กรรมพันธุ์  อาจพบว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นด้วย
  • ในเด็ก อาจเกิดจากทอนซิลโต ต่อมอะดีนอยด์โต หรือมีความผิดปกติแต่กำเนิด (เช่น ใบหน้าเล็ก ลิ้นใหญ่) 

เมื่อมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้นเกิดขึ้นขณะนอนหลับ ก็จะทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจตามมา ซึ่งอาจแสดงอาการได้ 2  ลักษณะ ได้แก่

               1. การหยุดหายใจ (apnea)ไม่มีลมหายใจเข้าออกทางจมูกหรือปาก เป็นเวลาอย่างน้อย10 วินาที

               2. การหายใจแผ่ว (hypopnea) มีลมหายใจเข้าออกทางจมูกหรือปากลดลงอย่างน้อยร้อยละ 50 เป็น เวลาอย่างน้อย10 วินาที สังเกตได้จากการกระเพื่อมของหน้าอกและท้องลดลง

ขณะที่หยุดหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือดจะต่ำลง ทำให้อวัยวะต่างๆได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงน้อยลง เมื่อลดลงถึงระดับหนึ่ง สมองจะมีกลไกตอบสนองโดยอัตโนมัติ ปลุกให้ตื่นจากหลับ และทำให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้นตึงตัว เปิดช่องทางเดินหายใจให้ โล่ง (ผู้ป่วยจะมีอาการสะดุ้ง  สำลักน้ำลายตนเอง หรือ หายใจเฮือกอย่างดัง และแรง) ผู้ป่วยก็จะกลับมาหายใจเป็นปกติ พอหลับไปได้สักพักหนึ่ง ก็เกิดภาวะหยุดหายใจอีก  แล้วสมองก็จะปลุกให้ตื่นอีก เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งคืน อาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นมากกว่าชั่วโมงละ 10 ครั้ง ทำให้นอนหลับไม่เต็มที่  แต่ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวว่ามีการสะดุดของการนอนและเข้าใจว่าตัวเองนอนหลับได้ดี

อาการ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ 

                ที่สำคัญ คือ ผู้ป่วยจะมีอาการนอนกรนเสียงดังสร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ร่วมกับมีการหยุดหายใจหรือหายใจแผ่วเป็นช่วง ๆ (ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ จะสังเกตเห็นหน้าอกและท้องไม่กระเพื่อมหรือกระเพื่อมน้อยลง) นานอย่างน้อย10 วินาที บางครั้งอาจนานถึง 1 นาที 

                ผู้ป่วยจะรู้สึกนอนไม่เต็มตื่น อ่อนเพลียหลังตื่นนอน ทั้งที่มีเวลานอนนานเพียงพอ บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะหลังตื่นนอนร่วมด้วย ผู้ป่วยมักมีอาการง่วงนอนบ่อย นั่งสัปหงก หรือหลับง่ายในช่วงเวลากลางวัน เช่น ขณะทำงาน เรียนหนังสือ นั่งคุยกับผู้อื่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หลังอาหารกลางวัน เป็นต้น บางครั้งมีอาการหลับในขณะขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรจนได้รับอุบัติเหตุ ผู้ป่วยมักมีอารมณ์หงุดหงิด หรืออารมณ์เสียง่ายเสียสมาธิ หลงลืมง่าย

                ในเด็ก  อาจมีอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนหรือปัสสาวะรดที่นอน นอนดิ้นไปดิ้นมา หลับไม่สนิท ผวาตื่นหรือฝันร้าย ร่างกายไม่แข็งแรงร่วมด้วย

การป้องกัน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ 

1. อาการนอนกรน (snoring) มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดไม่อันตราย (ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพเพียงแต่สร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง) และชนิดอันตราย (ซึ่งมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย และส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย) ดังนั้น ถ้ามีอาการนอนกรน ควรสังเกตว่ามีภาวะหยุดหายใจ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ (เช่น ง่วงนอนหรือหลับง่ายในเวลากลางวันอารมณ์หงุดหงิด เสียสมาธิ หลงลืมง่าย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น) ร่วมด้วยหรือไม่  หากสงสัยว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวินิจฉัยและให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ

                2. ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลดน้ำหนักตัว การไม่บริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน การงดบุหรี่  อาจทำให้อาการดีขึ้น หากจำเป็นควรใช้เครื่องอัดอากาศ (CPAP) เพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งจะช่วยให้อาการดีขึ้นแต่ต้องใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกคืน เมื่อหยุดใช้อาการมักลับมากำเริบได้อีก

                3. การรักษาภาวะนี้ให้ได้ผลอย่างจริงจังจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะความดันโลหิตสูงที่พบร่วมด้วยก็จะหายได้ ในช่วงที่ยังมีความดันโลหิตสูง อาจจำเป็นต้องให้ยาลดความดัน

การรักษา ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ 

หากสงสัย  ควรส่งปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  มักจะทำการวินิจฉัยด้วยการตรวจความผิดปกติระหว่างการนอนหลับด้วยวิธีที่เรียกว่า  “polysomnography (PSG)” โดยต้องไปนอนค้างที่โรงพยาบาล แล้วใช้อุปกรณ์ตรวจวัดลักษณะการหายใจ และการเปลี่ยนแปลงของหัวใจปอด  สมอง การเคลื่อนไหวของแขนขา ระดับออกซิเจนในเลือด

การรักษา โดยทั่วไปจะเริ่มต้นด้วยการให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่

  • การลดน้ำหนักตัว ควรลดให้ได้มากกว่าร้อยละ10 อาจมีผลทำให้หายขาดในผู้ป่วยบางรายได้
  • หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน  เพราะจะทำให้ทางเดินหายใจอุดกั้นได้ง่าย และหยุดหายใจนานขึ้น
  • พยายามนอนในท่าตะแคง หรือท่าที่ทำให้อาการลดลง (สมัยก่อนมีการใช้ถุงใส่ลูกเทนนิส 3-4 ลูกติดไว้ด้านหลังของเสื้อนอน เพื่อบังคับให้ผู้ป่วยนอนตะแคง)
  •  งดสูบบุหรี่

ถ้าไม่ได้ผล หรือมีอาการรุนแรง อาจให้การรักษาเพิ่มเติม ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายวิธี  ดังนี้

  1. การใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรม ช่วยเพิ่มขนาดของทางเดินหายใจในช่วงนอนหลับ วิธีนี้ใช้ได้ผลในรายที่เป็นไม่รุนแรง
  2. การใช้เครื่องอัดอากาศเพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับ(continuous positive airway pressure/CPAP) มีลักษณะเป็นหน้ากากใช้สวมจมูกเวลานอน  สามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นรุนแรง  และได้ผลในการแก้ภาวะนี้ได้มากกว่าร้อยละ 90
  3. การผ่าตัดขยายทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น ซึ่งมีอยู่หลายวิธี แพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย ส่วนเด็กที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับเนื่องจากทอนซิลโตหรือต่อมอะดีนอยด์ (adenoid) โต ก็อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์
[Total: 3 Average: 5]