ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ Center for Medical Genomics เกี่ยวกับประเด็นเชื้อโควิด-19 “เดลตาครอน” ว่า จากการที่มีผู้สอบถามเข้ามาที่ศูนย์จีโนม รพ. รามาธิบดี จำนวนมากถึงการเกิดขึ้นของสายพันธุ์โควิดลูกผสมอย่าง “เดลตาครอน” ขึ้นที่ไซปรัสนั้นใช่หรือไม่ คำตอบคือน่าจะไม่ใช่
เนื่องด้วย Dr. Tom Peacock ผู้เชี่ยวชาญการถอดรหัสพันธุ
ส่วนทางด้าน ศ.นิค โลแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านจีโนมของจุลิ
ล่าสุด ศูนย์จีโนมฯ ได้นำรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจำนวน 25 ตัวอย่างที่ทางไซปรัสได้อัปโหลดขึ้นมาแชร์ไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID” โลก มาวิเคราะห์ ก็เห็นพ้องตามที่ Dr.Tom Peacock กล่าวไว้คือ เมื่อนำข้อมูลรหัสพันธุกรรมมาสร้างเป็นแผนภูมิวิวัฒนาการ Phylogenetic tree พบว่าตัวอย่างทั้ง 25 รายไม่ได้มาจากคลัสเตอร์เดียวกันซึ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะหากเป็นสายพันธุ์ลูกผสมที่เพิ่งเกิดใหม่ มีที่มาจากแหล่งเดียวกันยังไม่ระบาดเป็นวงกว้าง ควรจะอยู่ในคลัสเตอร์เดียวกัน ไม่แตกกิ่งก้านสาขาไปมากมาย และจากรหัสพันธุกรรมทั้ง 25 ตัวอย่างบ่งชี้ว่าเป็นรหัสพันธุกรรมส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ “เดลตา” ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนสารพันธุกรรมของ “โอมิครอน” เข้ามาระหว่างการถอดรหัสพันธุกรรม
คำถามที่ตามมาคือหากมีสายพันธุ์ลูกผสมเกิดขึ้นมาจริงๆ ทางศูนย์จีโนมฯจะตรวจพบหรือไม่ คำตอบคือน่าจะตรวจพบ เพราะขณะนี้เราถอดรหัสพันธุกรรมด้วยเทคโนโลยีสายยาว (long-read sequencing) ประมาณ 1,000-2,000 ตำแหน่งต่อสาย ดังนั้นหากพบรหัสพันธุกรรมของ “เดลตา” และ “โอมิครอน” ผสมปนกันอยู่ในสายเดียวกัน ก็แสดงว่าน่าจะเป็นสายพันธุ์ลูกผสม
อย่างก็ตามเพื่อความชัดเจนอาจต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลสักระยะ หากหลายสถาบันในไซปรัสยังสามารถถอดรหัสพันธุกรรมพบสายพันธุ์ลูกผสมดังกล่าวจากบรรดาตัวอย่างที่ส่งเข้ามาภายใน 1-2 อาทิตย์จากนี้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าได้เกิดสายพันธุ์ลูกผสม “เดลตาครอน” ในไซปรัสอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดทางองค์การอนามัยโลกคงจะจัดทีมเข้ามายืนยันผลที่ไซปรัส เหมือนกับที่เคยดำเนินการที่เวียดนามเช่นกัน
จึงสามารถสรุปได้ว่ายังคงต้องมีการติดตามกันต่อไปว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์ไฮบริดลูกผสม ‘เดลตาครอน’ นี้ มีโอกาสเกิดขึ้นหรือไม่ ? และจะรุนแรงแค่ไหน ? รวมทั้งการแพร่กระจายจะเป็นไปในทิศทางใด ? คงต้องมีการติดตามกันอย่างใกล้ชิด เพราะลักษณะการผสมของสายพันธุ์โควิดนั้นมีการเกิดขึ้นหลายครั้งทั้งที่ผ่านมาอย่างกรณีของประเทศเวียดนาม แต่ปรากฎว่ายังไม่มีการพบไวรัสลูกผสม เพียงแต่พบว่าใน 1 คนมีการติดเชื้อโควิด 2 สายพันธุ์เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าการเกิดลูกผสมในส่วนของไวรัสโควิด-19 นั้นไม่ง่ายนัก เพื่อความปลอดภัยของมวลมนุษยชาติท่ามกลางสมรภูมิโควิดภิวัฒน์ที่อยู่กับเรามากว่า 3 ปี จึงต้องมีการติดตามกันต่อไป และยังคงให้ความสำคัญกับการป้องกันกันอย่างต่อเนื่อง