ปัจจุบันพบว่ามีการใช้ทาคอร์ติโคสเตียรอยด์สำหรับการรักษาโรคผิวหนังเป็นจำนวนมาก ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบ และลดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังได้ดีแต่ก็สามารถก่อให้เกิดผิวหนังบางและสีผิวจางลงได้ ปัจจุบันจึงได้มีการค้นคว้าวิจัยเพื่อให้ได้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงแต่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ในประเทศไทยยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ทำให้พบว่ามีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งมีการซื้อยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์เพื่อนำมารักษาโรคผิวหนังเองแบบไม่ถูกกับโรค ไม่ถูกที่ ไม่ถูกขนาด ไม่ถูกระยะเวลาในการใช้ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลเสียต่างๆตามมา
คุณสมบัติ
คอร์ติโคสเตียรอยด์มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ กดระบบภูมิคุ้มกัน ลดการแบ่งตัวของเซลล์ และกระตุ้นการหดตัวของหลอดเลือด นอกจากนี้ยังสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น สีผิวจางลง ขนดก สิวขึ้น หรือกดระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จะมีหลายระดับความแรงทำให้ยามีคุณสมบัติดังกล่าวแตกต่างกันออกไป ยิ่งยาที่มีความแรงสูงก็มักจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่มากขึ้น ในปัจจุบันจึงได้มีการวิจัยเพื่อผลิตยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสูงแต่มีผลข้างเคียงน้อย ทั้งนี้การเลือกใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ต้องคำนึงถึง ตำแหน่ง ขนาด และลักษณะของรอยโรค ปริมาณ ความถี่และระยะเวลาในการใช้ยา อายุของผู้ป่วย ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการดูดซึมยาแตกต่างกันออกไป
รูปแบบของยา
ในปัจจุบันพบรูปแบบของยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้หลายรูปแบบ เช่น สเปรย์ โลชั่น สารละลาย เจล แชมพู ครีม ขี้ผึ้ง เพื่อให้เลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมกับโรค หรือพื้นที่ที่ใช้ทา นอกจากนี้รูปแบบของยายังมีผลต่อประสิทธิภาพของคอร์ติโคสเตียรอยด์
โรคที่ใช้รักษา
ปกติแล้ว แพทย์มักใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์รักษาโรคดังต่อไปนี้
- ข้ออักเสบ
- หอบหืด
- ภูมิแพ้
- โรคทางผิวหนัง เช่น ผื่น หรือ ผิวหนังอักเสบ
- โรคภูมิต้านตนเอง เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis: MS) หรือ โรคลูปัส (Lupus)
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เช่น โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง (Ulcerative colitis) หรือ โรคโครห์น (Crohn’s disease)
- มะเร็ง (Cancer)
ข้อบ่งชี้ในการใช้ยา
เพื่อใช้ในการต้านการอักเสบของโรคผิวหนัง ลดการแบ่งตัวของผิวหนังและเยื่อเกี่ยวพัน โรคที่ตอบสนองต่อการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง โรคลมพิษบางชนิดผื่นจากแมลงสัตว์กัดต่อย ไลเคน พลานัส หรือผื่นในโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง เป็นต้น
หลักการในการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์
- ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องก่อนการใช้ยา
- เริ่มใช้ยาที่มีความแรงระดับต่ำที่เพียงพอต่อการควบคุมโรค
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีความแรงไม่เพียงพอต่อการรักษาโรคเป็นระยะเวลานาน
- เมื่อจำเป็นต้องใช้ยากับผิวหนังในบริเวณกว้างควรใช้ยาที่มีความแรงขนาดต่ำถึงปานกลาง
- โรคที่ตอบสนองต่อคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้ดีควรใช้ยาความแรงระดับต่ำ โรคที่ตอบสนองต่อคอร์ติโคสเตียรอยด์ไม่ดีควรเริ่มใช้ยาความแรงระดับปานกลางถึงสูง
- ยาที่มีความแรงระดับปานกลางและสูง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในบริเวณหน้าหรือขาหนีบและหลีกเลี่ยงการใช้ในทารกและเด็กเล็ก
- ยาที่มีความแรงระดับสูงควรใช้กับผิวที่มีการหนาตัวขึ้น รวมทั้งฝ่ามือและฝ่าเท้า
ผลข้างเคียงของยา
- ผิวหนังบางและฝ่อลง
- สิวสเตียรอยด์
- ขนขึ้นบริเวณที่ใช้
- ผิวหนังสีจางลง
- กระตุ้นรอยโรคที่มีการติดเชื้ออยู่เดิมให้แย่ลง
- ผิวหนังระคายเคืองต่อการแพ้สัมผัส
- ก่อให้เกิดต้อหินในรายที่มีการใช้ยาบริเวณรอบดวงตา
- กดระบบไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี่-อะดรีนัล
- เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดลดการใช้น้ำตาล อาจก่อให้เกิดโรคเบาหวานตามมาได้
ดังนั้นผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์มาใช้เองทั้งนี้เนื่องจากต้องพิจารณาถึงปัจจัยหลายด้านดังที่กล่าวมาข้างต้น และรอยโรคบางชนิดเกิดจากการติดเชื้อ หากใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์จะทำให้อาการแย่ลง ผู้ป่วยจึงควรที่จะปรึกษาแพทย์ในการใช้ยาดังกล่าวเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ถูกโรค ถูกระยะเวลา ถูกปริมาณและเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด