โรคไตเนโฟรติก คือ โรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก พบได้ในคนทุกวัยแต่พบมากในเด็กอายุ 1 – 5 ปี
มักเป็นเรื้อรังและมีโอกาสเป็นๆ หายๆ บ่อยถือเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของโรคไตเรื้อรังชนิดหนึ่ง บางครั้งแพทย์อาจเรียกโรคนี้ว่า โรคไตเชื้อรัง
สาเหตุ โรคไตเนโฟรติก
อาการเกิดเนื่องจากร่างกายมีการสูญเสียโปรตีนออกไปทางปัสสาวะ เพราะมีความผิดปกติของหน่วยไต (glomerulus) ซึ่งเป็นหน่วยเล็กๆ ที่ทำหน้าที่กรองปัสสาวะ ทำให้มีระดับโปรตีนในเลือดต่ำ จึงเกิดอาการบวมทั้งตัว ผู้ป่วยส่วนมาก จะไม่ทราบสาเหตุของความผิดปกติอย่างแน่ชัด
บางรายอาจมีประวัติเป็นโรคหน่วยไตอักเสบ มาก่อน หรือพบร่วมกับเบาหวาน เอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ ครรภ์เป็นพิษ ความดันโลหิตสูงรุนแรง โรคเรื้อน ซิฟิลิส มาลาเรีย ตับอักเสบจากไวรัสบีหรือซี การติดเชื้อเอชไอวี มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือแพ้พิษงูหรือผึ้งต่อย แพ้สารหรือบางชนิด (เช่น โพรเบเนซิด แคปโทพริล ไรแฟมพิซิน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ ลิเทียม การเสพเฮโรอีน) หรือเกิดจากสารพิษโลหะหนัก (เช่น ปรอท แคดเมียม)
อาการ โรคไตเนโฟรติก
มีอาการบวมทั่วตัว ทั้งที่หน้า หนังตา ท้อง และเท้า 2 ข้าง ซึ่งมักจะค่อยๆ เกิดเพิ่มขึ้นทีละน้อย (มีเพียงส่วนน้อยที่อาจเกิดขึ้นฉับพลัน) ผู้ป่วยอาจสังเกตเห็นหนังตาบวมชัดเจนเวลาตื่นนอน ปัสสาวะสีใสเหมือนปกติ แต่จะออกน้อยกว่าปกติ ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร แต่ไม่มีไข้ นอนราบได้ และมักจะเดินเหินและทำงานได้
สิ่งตรวจพบ โรคไตเนโฟรติก
หน้าบวม หนังตาบวม เท้าบวมกดบุ๋ม และอาจมีท้องบวม (ท้องมาน) ภาวะน้ำท่วมปอด (pulmonary edema) ซึ่งฟังปอดมีเสียงกรอบแกรบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion) ตรวจปัสสาวะพบสารไข่ขาว (albumin) ขนาด 3+ ถึง 4+ ถ้าเป็นนานๆ อาจมีอาการซีดร่วมด้วย
ภาวะแทรกซ้อน โรคไตเนโฟรติก
ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร เช่น ภาวะขาดโปรตีน (เกิดอาการแบบโรคขาดอาหารควาซิวากอร์) ผมและเล็บเปราะผมร่วงภาวะโพเทสเซียมต่ำ ภาวะแคลเซียมต่ำ เป็นต้น
ร่างกายอาจมีภูมิคุ้มกันลดลง เนื่องจากการสูญเสียอิมมูโนโกลบูลิน (ซึ่งเป็นโปรตีนช่วยต้านทานโรค) ออกทางปัสสาวะทำให้เป็นโรคติดเชื้อง่าย เช่น เป็นฝีพุพอง ปอดอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ กรวยไตอักเสบ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขึ้นเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษได้
บางรายอาจเกิดภาวะเลือดแข็งตัวง่าย เนื่องจากร่างกายมีสารกระตุ้นการแข็งตัวของเลือดเพิ่มขึ้น แต่สูญเสียสารในการละลายลิ่มเลือด อาจทำให้เกิดภาวะสิ่งหลุด (ลิ่มเลือด) อุดตันหลอดเลือดแดง (ที่ไต ที่เท้า ที่ปอด)
ในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีภาวะไตวายแทรกซ้อน จนกลายเป็นไตวายระยะท้ายใน 5-20 ปี
การป้องกัน โรคไตเนโฟรติก
- โรคนี้จะต้องรักษากันเป็นเวลานาน ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจนานเป็นแรมปี ควรติดต่อรักษากับแพทย์คนใดคนหนึ่งเป็นประจำ อย่าเปลี่ยนหมอเปลี่ยนโรงพยาบาลเอง โดยทั่วไปถ้ามีปัญหาในการรักษาแพทย์ที่รักษาอยู่เดิมมักจะมีจดหมายส่งตัว ผู้ป่วยไปรักษากับแพทย์ที่มีความชำนาญกว่า
- ระหว่างการรักษา ควรพักผ่อนให้มากๆ งดอาหารเค็มเพื่อลดอาการบวม และกินอาหารพวกโปรตีน (เนื้อ นม ไข่) ให้มา ๆ (ประมาณ 80-90 กรัม/วัน)
การรักษา โรคไตเนโฟรติก
หากสงสัย ควรแนะนำไปโรงพยาบาล มักจะวินิจฉัยโดยการตรวจเลือด และปัสสาวะซึ่งจะพบว่าระดับสารไข่ขาวในเลือดต่ำ (hypoalbuminemia) ระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และมีสารไข่ขาวในปัสสาวะมาก (ในผู้ใหญ่มีมากกว่า 3-5 กรัม/วัน) นอกจากนี้ อาจทำการตรวจพิเศษอื่นๆ เพื่อหาสาเหตุที่พบร่วม
การรักษา ถ้าตรวจพบสาเหตุก็ให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย งดยาที่แพ้ ส่วนในรายที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน มักจะให้สตีรอยด์เช่น เพร็ดนิโซโลน วันละ 16-24 เม็ด หรือ ขนาดวันละ 1-2 มก./กก. สำหรับเด็กและนัดไปตรวจเลือดและปัสสาวะเป็นประจำ
ถ้าพบว่าสารไข่ขาวในเลือดมีระดับสูงขึ้น และสารไข่ขาวในปัสสาวะลดน้อยลงพร้อมกับอาการบวมลดลง (น้ำหนักตัวลดลง) แสดงว่าอาการดีขึ้น ก็จะค่อยๆ ลดยาลงทีละน้อยอาจให้กินยาอยู่นาน 2-3 เดือน แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นอาจให้ยาขับปัสสาวะ เช่น ฟูโรซีไมด์ วันละ 1-2 เม็ด เพิ่มอีกชนิดหนึ่ง ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องเจาะเนื้อไตออกพิสูจน์หาสาเหตุและชนิดของโรค และอาจให้ยากดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive) เช่น ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) ไซโคลสปอริน (cyclosporin)
ผลการรักษาขึ้นกับสาเหตุและชนิดของโรค ถ้าผลการพิสูจน์ชิ้นเนื้อพบว่าเป็นชนิดเล็กน้อย (minimal lesion) ซึ่งเป็นชนิดที่พบมากในเด็กก็มักจะหายขาดได้ บางรายเมื่อหยุดยาหลังอาการดีขึ้นก็อาจกำเริบได้ใหม่ในภายหลังและอาจต้องกินยานาน 6 เดือน – 1 ปี ซึ่งในที่สุดก็มักจะหายขาดได้น้อยรายที่จะกลายเป็นไตวายตามมาส่วนในรายที่เป็นชนิดร้ายแรงอาจรักษาไม่ได้ผล และเกิดภาวะไตวายแทรกซ้อนถึงเสียชีวิตได้