เนื้อตายเน่า คือภาวะซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อบางส่วนของร่างกายตายไปเป็นปริมาณมาก จนเป็นภาวะซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ภาวะนี้อาจเกิดจากการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อ หรือพบในผู้ป่วยเรื้อรังจากโรคที่ส่งต่อการไหลเวียนเลือด สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนนั้น ๆ ทำให้เซลล์ตาย โรคเบาหวานและการสูบบุหรี่เป็นเวลานานเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดเนื้อตายเน่าได้
อวัยวะส่วนที่มักได้รับผลกระทบ คือ อวัยวะที่อยู่บริเวณไกลจากหัวใจ เช่น แขน ขา นิ้วมือ และนิ้วเท้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม Gangrene สามารถเกิดขึ้นภายในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่ออวัยวะภายในรวมถึงกล้ามเนื้อด้วย และอาจแพร่กระจายลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย จนอาจทำให้เกิดภาวะช็อกและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น การเจ็บป่วยนี้จึงถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาทันที
สาเหตุ เนื้อตายเน่า
สาเหตุที่สำคัญของ Gangrene คือ การขาดเลือด เนื่องจากเลือดมีหน้าที่สำคัญในการขนส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั้งยังเป็นส่วนสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันด้วย หากเลือดไม่สามารถเดินทางไปยังบริเวณใดของร่างกายได้ เซลล์ในบริเวณนั้นจะไม่สามารถอยู่รอดได้ ซึ่งการบาดเจ็บและบาดแผลต่าง ๆ ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ตามปกติ ทั้งยังง่ายต่อการติดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถทำให้เกิดภาวะนี้ได้ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอลล์ การใช้ยาหรือสารเสพติดที่ฉีดเข้าสู่ร่างกาย เป็นต้น ส่วนโรคบางชนิดก็อาจทำให้เกิด Gangrene ได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ โรคหลอดเลือดหดตัวเรเนาด์ โรคอ้วน การเกิดลิ่มเลือด ไส้ติ่งอักเสบ ไส้เลื่อน ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การติดเชื้อ HIV และโรคแบคทีเรียกินเนื้อหรือโรคเนื้อเน่า ซึ่งเป็นภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่สามารถปล่อยสารพิษทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังและกล้ามเนื้อจนส่งผลให้เนื้อเยื่อตายและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เป็นต้น
อาการ เนื้อตายเน่า
โดยทั่วไป Gangrene มักทำให้เกิดอาการบวม มีตุ่มน้ำพองขึ้นบนผิวหนังบริเวณที่ได้รับผลกระทบ มีกลิ่นเหม็นโชยออกมา รวมทั้งเกิดการเปลี่ยนแปลงของสีผิวในบริเวณนั้น โดยผิวหนังจะบาง มันวาว ไม่มีขนขึ้น ซึ่งจะทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างผิวหนังบริเวณที่มีสุขภาพดีกับบริเวณที่เกิดความเสียหายได้อย่างชัดเจน และผู้ป่วยจะรู้สึกเย็นเมื่อสัมผัสโดน ในบางกรณีก็อาจมีอาการปวดอย่างฉับพลันรุนแรง และอาจมีอาการชาเกิดขึ้นตามมาด้วย
ทั้งนี้ ลักษณะอาการที่ปรากฏอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของ Gangrene ด้วย ได้แก่
Dry Gangrene
เนื้อตายเน่าชนิดแห้งอาจมีอาการ ดังนี้
- ผิวหนังจะแห้งและเหี่ยวย่น
- ผิวหนังบริเวณนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอมม่วงจนกลายเป็นสีดำ และจะหลุดออกมาในที่สุด
- ผิวหนังจะเย็นและรู้สึกชา
- อาจมีหรือไม่มีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย
Wet Gangrene
เนื้อตายเน่าชนิดเปียกอาจส่งผลให้เกิดอาการ ดังนี้
- มีตุ่มน้ำพองหรือแผลมีหนองขึ้นบนผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุที่เรียกว่าเนื้อตายเน่าชนิดเปียก
- มีอาการบวมบริเวณตุ่มน้ำที่พองหรือเกิดแผลมีหนอง และมีกลิ่นเหม็นโชยออกมา
- เจ็บปวดบริเวณที่ติดเชื้อ
- สีผิวบริเวณนั้นเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีน้ำตาล จนกลายเป็นสีดำคล้ำในที่สุด
- รู้สึกไม่สบายตัวและมีไข้
Gas Gangrene
ผู้ป่วยที่มีเนื้อตายเน่าชนิดที่มีการปล่อยแก๊สอาจพบอาการต่อไปนี้
- ผิวหนังจะค่อย ๆ ซีด และสีผิวเปลี่ยนเป็นสีเทาหรือสีแดงอมม่วง
- ผิวหนังจะมีลักษณะสัมผัสคล้ายลม หากกดลงบนบริเวณที่เกิดอาการจะมีเสียงกรอบแกรบ เนื่องจากมีแก๊สอยู่ภายในเนื้อเยื่อ
- มีทั้งหนองและลมอยู่ภายในบริเวณที่เกิดอาการ
- มีไข้ต่ำและรู้สึกไม่สบายตัว
- เนื้อเยื่อบวมและรู้สึกเจ็บปวดมาก
Internal Gangrene
เนื้อตายเน่าที่อวัยวะภายในอาจทำให้เกิดอาการ เช่น
- มีไข้และรู้สึกไม่สบายตัวโดยไม่ทราบสาเหตุเป็นเวลานาน
- ความดันโลหิตต่ำ
- เจ็บปวดภายในร่างกายบริเวณที่ได้รับผลกระทบ
Fournier’s Gangrene
โรคเนื้อตายเน่าบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อาจส่งผลให้เกิดอาการต่อไปนี้
- รู้สึกปวดและมีอาการบวมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
- มีไข้และรู้สึกไม่สบายตัว
- มีกลิ่นเหม็นออกมาจากเนื้อเยื่อผิวหนังที่เกิดอาการ
- อาจเกิดภาวะขาดน้ำและภาวะโลหิตจางด้วย
การรักษา เนื้อตายเน่า
ผู้ป่วย Gangrene จะต้องได้รับการรักษาทันที โดยวิธีการรักษานั้นจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการด้วย ดังนี้
การใช้ยาปฏิชีวนะ
วิธีนี้เป็นการใช้ยาเพื่อรักษาการติดเชื้อ มีทั้งยาแบบรับประทานและยาที่ต้องฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ สำหรับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดกำจัดเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว แพทย์อาจสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะด้วย ซึ่งผู้ป่วยอาจต้องใช้ยาจนกว่าการผ่าตัดครั้งสุดท้ายจะผ่านไปและไม่พบการติดเชื้อแล้ว
การบำบัดด้วยออกซิเจนความดันบรรยากาศสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy)
การบำบัดนี้เป็นการรักษาโดยให้ผู้ป่วยหายใจรับออกซิเจนเข้าไปในร่างกายอย่างเต็มที่ โดยเข้าไปอยู่ในอุโมงค์ออกซิเจนซึ่งมีความดันบรรยากาศสูงเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด เพราะเลือดที่มีออกซิเจนอยู่มากจะชะลอการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และยังช่วยทำให้แผลติดเชื้อหายเร็วขึ้นอีกด้วย
การผ่าตัด
แพทย์อาจต้องผ่าตัดกำจัดเนื้อเยื่อส่วนที่ตายแล้วออกไป เพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อ ในบางกรณีที่มีอาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องตัดอวัยวะที่ได้รับผลกระทบออกไปด้วย เช่น แขนหรือขา เป็นต้น เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ โดยผู้ป่วยสามารถใช้แขนหรือขาเทียมในภายหลังได้ เพื่อทดแทนอวัยวะส่วนที่ถูกตัดออกไป นอกจากนี้ ในบางกรณีอาจต้องผ่าตัดหลอดเลือดด้วย เพื่อให้เลือดไหลเวียนผ่านเส้นเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น
การบำบัดด้วยตัวหนอน (Maggot Therapy)
ขั้นตอนนี้เป็นวิธีการรักษาโดยใช้หนอนแมลงวัน ซึ่งหนอนชนิดนี้จะกัดกินเนื้อเยื่อตายบริเวณบาดแผล และยังช่วยลดการติดเชื้อได้ด้วย