นิ่วน้ำดี (ถุงน้ำดีอักเสบ) เป็นโรคที่พบได้มากขึ้นตามอายุ มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปมักไม่พบในคนอายุต่ำกว่า 20 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
มักพบในคนอ้วน หญิงที่ตั้งครรภ์หรือกินยาเม็ดคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนเอสโทรเจน ผู้ที่ชอบกินอาหารที่มีไขมันสูง หรือมีประวัติญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ ผู้ที่เป็นเบาหวาน ตับแข็ง ทาลัสซีเมีย หรือภาวะเม็ดเลือดแดงแตก ผู้ที่ลดน้ำหนักตัวในระยะเวลาสั้นๆ เป็นโรคของลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) หรือผ่าตัดลำไส้ส่วนนี้ออกไป หรือมีการอักเสบของทางเดินน้ำดีเรื่อรัง
โรคถุงน้ำดีอักเสบ - นิ่วน้ำดีแบ่งเป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่ นิ่วชนิดคอเลสเตอรอล (cholesterol stone) นิ่วชนิดเม็ดสี(pigment stone) และนิ่วชนิดผสม นิ่วชนิดคอเลสเตอรอลกับนิ่วชนิดผสมพบได้บ่อยกว่าชนิดเม็ดสี ก้อนนิ่วอาจเกิดเป็นก้อนเดียวหรือก้อนเล็กๆ หลายก้อนก็ได้
สาเหตุ โรคถุงน้ำดีอักเสบ - นิ่วน้ำดี
โรคถุงน้ำดีอักเสบ - นิ่วน้ำดี สาเหตุของการเกิดนิ่วน้ำดีขึ้นกับชนิดของนิ่ว
สำหรับนิ่วชนิดคอเลสเตอรอล และชนิดผสม ซึ่งมีคอเลสเตอรอลเป็นองค์ประกอบหลักร่วมกับหินปูน (แคลเชียม) กรดน้ำดี (bile acids) ฟอสโฟไลปิด (phos pholipids) และสารอื่นๆ เกิดจากมีสัดส่วนของคอเลสแตอรอลต่อกรดน้ำดีและ ฟอสโฟไลปิดสูงกว่าปกติ จึงตกตะกอนเป็นผลึกและกลายเป็นก้อนนิ่วในที่สุด
ทั้งนี้อาจเกิดจากมีการหลั่งคอเลสเตอรอลมาที่ถุงน้ำดีมากกว่าปกติ (เช่น ในคนอ้วน ผู้ที่กินอาหารที่มีไขมันหรือมีแคลอรีสูง ลดน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็วภายในเวลาสั้น ๆ หรือกินยาโคลไฟเบรตในการลดไขมันในเลือด) หรือมีการหลั่งกรดน้ำดีน้อยกว่าปกติ (เช่น ผู้ที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดผู้ที่เป็นตับแข็งหรือโรคลำไส้เล็กส่วนปลาย) หรือเกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง 2 อย่าง (เช่น ในผู้สูงอายุ ผู้ที่กินฮอร์โมนเอสโทรเจน) นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากปัจจัยเสริม เช่น ถุงน้ำดีมีการทำงานน้อย (hypomotility) จึงเกิดการสะสมของผลึกนิ่ว (เช่น ผู้ที่อดอาการหญิงตังครรภ์)
ส่วนนิ่วชนิดเม็ดสี ซึ่งมีแคลเซียมบิลิรูบิเนต (calcium bilirubinate) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญนั้น เกิดจากมี unconjugated bilirubin ในน้ำดีสูงเกินไป จึงตกผลึกเป็นก้อนนิ่วชนิดเม็ดสี หรืออาจจับตัวกับผลึกคอเลสเตอรอลกลายเป็นนิ่วชนิดผสม นิ่วชนิดนี้พบมากในผู้ที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเรื้อรัง (เช่น ทาสัสซีเมีย) ผู้ป่วยตับแข็งจากการดื่มแอลกฮอล์ ผู้ที่มีการติดเชื้อของทางเดินน้ำดีเรื้อรัง หรือเป็นโรคพยาธิในทางเดินน้ำดีหรือพบในผู้สูงอายุ
ส่วนถุงน้ำดีอักเสบ มักเป็นภาวะแทรกซ้อนของนิ่วน้ำดี อาจเกิดเนื่องจากมีการอุดกั้นของท่อน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดี มีแรงดันเพิ่มขึ้นและมีการยืดตัว ทำให้เยื่อบุผนังของถุงน้ำดีขาดเลือด เป็นผลให้เกิดการอักเสบ หรืออาจเกิดจากการระคายเคืองของสารเคมีบางชนิดอันเป็นผลมากจากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในถุงน้ำดี หรือเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเช่น อีโคไล เคล็บซิลลา สเตรปโตค็อกคัส สแตฟีค็อกคัส เป็นต้น
มีเพียงส่วนน้อยที่อาจไม่พบร่วมกับนิ่วน้ำดี แต่อาจพบในโรคอื่นๆ เช่น ไทฟอยด์ ตับอ่อนอักเสบความผิดปกติของทางเดินน้ำดี เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังอาจพบในผู้ป่วยหลังผ่าตัด ได้รับบาดเจ็บ มีบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ภาวะโลหิตเป็นพิษ หรือเจ็บป่วยหนัก เป็นต้น
อาการ โรคถุงน้ำดีอักเสบ - นิ่วน้ำดี
โรคถุงน้ำดีอักเสบ - นิ่วน้ำดี ส่วนใหญ่ของผู้ที่มีนิ่วน้ำดีจะไม่มีอาการผิดปกติแสดงให้เห็นแต่อย่างใด และมักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจร่างกาย
ด้วยโรคอื่น
ในรายที่ก้อนนิ่วเคลื่อนไปอุดในท่อน้ำดี (bile duct) จะมีอาการปวดบิดรุนแรงเป็นพักๆ ตรงบริเวณให้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา ซึ่งอาจปวดร้าวมาที่ไหล่ขวา หรือบริเวณหลังตรงใต้สะบักขวา และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย บางรายอาจปวดรุนแรงจนเหงื่อออก เป็นลม
อาการปวดท้องมักเป็นหลังกินอาหารมันๆ หรือกินอาหารมื้อหนัก หรือตอนกลางคืน แต่ละครั้งจะปวดนาน 15-30 นาที บางรายอาจนาน 2 - 6 ชั่วโมง และจะทุเลาไปเอง เมื่อเว้นไปนานเป็นแรมสัปดาห์ แรมเดือน หรือแรมปีก็อาจกำเริบได้อีก(ถ้าปวดท้องทุกวันมักจะไม่ใช่เป็นนิ่วน้ำดี) บางรายอาจมีอาการดีซ่าน (ตาเหลือง) เกิดขึ้นตามหลังอาการปวดท้อง
บางรายอาจมีอาการท้องอึดท้องเฟ้อบริเวณเหนือ สะดือ เรอ คลื่นไส้ อาเจียน คล้ายอาการของอาหารไม่ย่อย ซึ่งมักจะเป็นหลังกินอาหารมันๆ เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง
ถุงน้ำดีอักเสบ ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบของถุงน้ำดีเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา คลื่นไส้ อาเจียน
ในรายที่เป็นถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรังอาจมีอาการปวดตรงใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา คลื่นไส้ อาเจียน เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง คล้ายอาการของอาหารไม่ย่อย โดยมากจะมีอาการปวดบิดเป็นพักๆ แบบเดียวกับอาการปวดของนิ่วน้ำดี
การป้องกัน โรคถุงน้ำดีอักเสบ - นิ่วน้ำดี
การปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค
- รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินหรือเป็นโรคอ้วน
- ถ้าต้องการลดน้ำหนักตัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อแนะนำวิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้อง ไม่ลดเร็วเกินไป
- ลดอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วน้ำดีที่ยังไม่มีอาการแสดงอะไรแต่บังเอิญตรวจพบขณะที่ตรวจรักษาโรจอื่น ไม่จำเป็นต้องรีบทำการผ่าตัด เนื่องเพราะมักเป็นนิ่วก้อนเล็ก และอยู่ลึกที่ก้นถุงน้ำดีซึ่งไม่ก่ออันตรายแก่ผู้ป่วย แพทย์จะนัดติดตามดูเป็นระยะจนกว่าจะมีอาการชัดเจน (เช่นปวดท้อง) จึงค่อยทำการผ่าตัด ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสเกิดอาการปวดท้องจากนิ่วน้ำดีที่ซ่อนอยู่ประมาณร้อยละ1–2 ต่อปี
- ในปัจจุบันมีการคันพบยาที่ใช้ละลายนิ่วน้ำดีมีชื่อว่า กรดชีโนดีออกซีโคลิก (chenodeoxycholic acid) ซึ่งได้ผลดีกับผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เป็นนิ่วที่โปร่งรังสี (radiolucent stone) ซึ่งตรวจพบโดยการถ่ายเอกซเรย์ด้วยวิธีการกินสารทึบรังสี (oral cholecystography) และมีลักษณะก้อนนิ่วเล็กๆ หลายก้อน โดยอาจต้องกินยานานเป็นปีๆ ขณะนี้ราคายายังค่อนข้างแพง ดังนั้นจึงควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคนี้เป็นผู้พิจารณาสั่งใช้เท่านั้น บางรายแพทย์อาจรักษาโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสลายนิ่วก่อนแล้วให้ยาละลายนิ่วตาม
- หลังผ่าตัดถุงน้ำดี ผู้ป่วยอาจมีอาการถ่ายเหลวบ่อย ซึ่งจะค่อยๆ ทุเลาไปได้เอง ระหว่างที่มีอาการถ่ายเหลวบ่อย แนะนำให้ผู้ป่วยงดกินอาหารมันและของเผ็ดกินผักและผลไม้ให้มาก ๆ
การรักษา โรคถุงน้ำดีอักเสบ - นิ่วน้ำดี
- ถ้ามีอาการปวดท้องที่ชวนสงสัยว่าเป็นนิ่วน้ำดีควรแนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลภายใน 1 - 2 สัปดาห์ระหว่างนั้นอาจให้การรักษาตามอาการไปพลางก่อน เช่น ถ้ามีอาการท้องอืดเฟ้อ ให้กินยาลดกรด หรือยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ถ้ามีอาการปวดบิดเป็นพักๆ ให้แอนติสปาสโมดิก เช่น อะโทรพีน ไฮออสซีน ซึ่งอาจใช้ชนิดฉีดหรือกินก็ได้สุดแต่สภาพการณ์ของผู้ป่วย และควรให้ผู้ป่วยงดอาการมัน ๆ
- ถ้ามีไข้ ดีซ่าน หรือกดเจ็บมากตรงบริเวณใต้ชายโครงขวา ควรส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง อาจให้การรักษาเบื้องต้นโดยให้ยาลดไข้ และให้น้ำเกลือถ้ามีภาวะขาดน้ำ
มักวินิจฉัยโดยการตรวจอัลตราซาวด์ บางรายอาจต้องถ่ายเอกชเรย์ด้วยวิธีพิเศษ และให้การรักษาโดยการผ่าตัดถุงน้ำดีออก
ในปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดถุงน้ำดีโดยวิธีส่องกล้องเข้าช่องท้อง (laparoscopic cholecystectomy) ผู้ป่วยจะมีแผลเจาะเป็นรูที่หน้าท้องเพียงเล็กน้อย และสามารถกลับบ้านภายใน 1-2 วัน
ในกรณีที่มีการอักเสบของถุงน้ำดี มักให้ยาปฏิชีวนะควบคุมอาการก่อนทำการผ่าตัด