อหิวาต์ คือ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็ว
ในสมัยก่อนพบว่าการระบาดแต่ละครั้งมีผู้ป่วย เสียชีวิตเป็นร้อยเป็นพัน จึงมีชื่อเรียกกันมาแต่โบราณ ว่า โรคห่า (อหิวาตกโรค โรคอุจจาระร่วงอย่างแรง)
ในปัจจุบันโรคนี้ลดความรุนแรงลง และพบระบาดน้อยลง มีรายงานโรคนี้ตามจังหวัดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกและภาคใต้ พบประปรายทางภาคอีสานและภาคเหนือ โรคนี้พบในเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่ มักพบในคนอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป สามารถพบได้ประปรายทุกเดือนตลอดทั้งปี มักพบในถิ่นที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี และในหมู่คนที่กินอาหารที่ไม่ได้ปรุงให้สุกหรือขาดสุขนิสัยที่ดี
ในต่างประเทศโรคนี้พบบ่อยในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และละตินอเมริกา พบระบาดในกลุ่มคนที่อยู่กันอย่างแออัด และตามค่ายอพยพ
เกิดจากเชื้ออหิวาต์ ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า วิบริโอคอเลอรา (Vibrio cholerac) เชื้ออหิวาต์มีอยู่หลายชนิด ตัวก่อโรคที่สำคัญในปัจจุบันได้แก่ ชนิดเอลทอร์ (EI Tor) กับวิบริโอคอเลอรา
เชื้ออหิวาต์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำเค็มและน้ำจืด คนเราสามารถติดเชื้อชนิดนี้โดยการกินอาหารทะเลแบบดิบ ๆ ดื่มน้ำหรือกินอาหารรวมทั้งน้ำแข็ง ไอศกรีมที่ปนเปื้อนเชื้อโดยมีแมลงวัน หรือมือเป็นสื่อกลางในการนำพาเชื้อ แล้วผู้ติดเชื้อ (ผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นพาหะ) ก็ปล่อยเชื้อออกทางอุจาระไปอยู่ตามดินและน้ำ ซึ่งแพร่กระจายสู่ผู้อื่นในวงกว้างจนเกิดการระบาดได้ นอกจากนี้ อาจติดจากผู้ติดเชื้อโดยการสัมผัสใกล้ชิด เชื้อสามารถติดผ่านมือเข้าไปในปากได้
เชื้ออหิวาต์จะรุกล้ำเข้าไปที่เยื่อบุลำไส้เล็กแล้วปล่อย สารพิษ (ชื่อ cholera toxin) ทำให้ลำไส้เล็กหลั่งน้ำและเกลือแร่ออกมาในอุจจาระจำนวนมาก เกิดอาการถ่ายเป็นน้ำ
ระยะฟักตัว 6 ชั่วโมง ถึง 5 วัน (ส่วนใหญ่ประมาณ 24-48 ชั่วโมง)
ส่วนใหญ่จะมีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยมี อาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเล็กน้อย ถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง คล้ายโรคท้องเดินทั่วไป หรืออาหารเป็นพิษ มักหายได้เองภายใน 1-5 วัน
ในรายที่เป็นมากมักมีอาการถ่ายเป็นน้ำรุนแรงอุจจาระมักจะไหลพุ่ง โดยไม่มีอาการปวดท้อง (ส่วนน้อยที่อาจมีอาการปวดบิดในท้อง) และมีอาการอาเจียนตามมาโดยที่ไม่มีอาการคลื่นไส้นำมาก่อน (ส่วนน้อยอาจมีอาการคลื่นไส้) ระยะแรกอุจจาระมีเนื้อปน ลักษณะเป็นน้ำสีเหลือง แต่ต่อมาจะกลายเป็นน้ำล้วนๆ บางรายอุจจาระมีลักษณะเหมือนน้ำชาวข้าว ไม่มีกลิ่นอุจจาระ อาจมีกลิ่นคางเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจถ่ายวันละหลายครั้งถึงหลายสิบครั้ง หรือไหลพุ่งตลอดเวลา ส่วนอาการอาเจียนนั้น แรกเริ่มออกเป็นเศษอาการ ต่อมาเป็นน้ำ และน้ำซาวข้าว
หากเป็นรุนแรงมักถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 250 มล./ กก./วัน และเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงและซ็อกอย่างรวดเร็ว (ภายใน 4-18 ชั่วโมง) ผู้ป่วยจะมีอาการเสียงแหบแห้งเป็นตะคริว ตัวเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีมักจะเสียชีวิตภายในเวลาสั้น ๆ
1. ในรายที่อาการไม่รุนแรง ไม่มีภาวะขาดน้ำรุนแรง และยังกินอาหารหรือดื่มน้ำได้ดี ให้การรักษาแบบอาการท้องเดินหรืออาหารเป็นพิษทั่วไป คือ ให้กินสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ เก็บอุจจาระส่งเพาะเชื้อ เมื่อทราบผลการตรวจว่าเป็นโรคนี้ หรือสงสัยว่าอาจเป็นโรคนี้ เช่น เป็นผู้สัมผัสผู้ป่วยอหิวาต์ หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค ควรให้ยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้ออหิวาต์
โดยทั่วไปอาการมักดีขึ้นภายใน 1-5 วัน ถ้าดูแล 2-3 วันแล้วอาการไม่ทุเลา หรือเป็นรุนแรงขึ้นเช่น อาเจียนบ่อย กินไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำมากขึ้นควรให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ แล้วส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว
2. ในรายที่เป็นรุนแรง เช่น ถ่ายเป็นน้ำรุนแรงอาเจียนรุนแรง กินไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง ควรให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ แล้วส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว มักต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจอุจจาระและเพาะเชื้อจากอุจจาระ (rectal swab culture) ตรวจเลือดดูความสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ และประเมินภาวะขาดน้ำ
การรักษา ปรับดุลสารน้ำและเกลือแร่ โดยการให้สารน้ำในรูปของริงเกอร์แล็กเทต (Ringer lactate) หรืออะซีทาร์ (Acetar) ถ้าไม่มีอาจใช้น้ำเกลือนอร์มัล (NSS) แทน โดยให้ในปริมาณที่สามารถทดแทนให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย (ในกรณีที่ผู้ป่วยซ็อกให้ขนาด
20–40 มล./กก. อย่างรวดเร็วๆ จนกว่าความดันโลหิตจะกลับเป็นปกติ และมีความรู้สึกตัวดี) และให้กินโพแทสเซียมคลอไรด์ หรือให้ทางหลอดเลือดดำถ้าอาเจียน
ถ้าตรวจพบว่าเป็นอหิวาต์ หรือสงสัยว่าเป็นโรคนี้ควรให้ยาปฏิชีวนะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้