ครู้ป (คอตีบเทียม ก็เรียก) คือ การอักเสบของเยื่อบุผิวของทางเดินหายใจตั้งแต่กล่องเสียงลงไปที่ท่อลม และหลอดลม ทำให้มีอาการไอเสียงก้อง และเกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง และหายได้เอง
พบบ่อยในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 3 ปี (สูงสุดในช่วงอายุ 1-2 ปี) พบน้อยในเด็กอายุเกิน 6 ปี แต่บางครั้งก็อาจพบในเด็กโต (จนถึง 12-15 ปี) ก็ได้ พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2 เท่า
สาเหตุ ครู้ป
เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งมีอยู่หลายชนิด ที่พบได้บ่อยสุดได้แก่ ไวรัสพาราอินฟลูเอนชา (Parainfluenza) นอกจากนี้อาจเกิดจากไวรัสอะดีโน (adenovirus) อาร์เอสวี (respiratory syncytial virus/RSV) ไวรัสหัด เป็นต้น
ส่วนไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ (influenza A) มักทำให้เกิดอาการที่รุนแรง และพบบ่อยในเด็กอายุ 3-7 ปี โรคนี้ติดต่อผ่านทางเดินหายใจแบบเดียวกับไข้หวัด
อาการ ครู้ป
แรกเริ่มมีอาการแบบไข้หวัด คือ มีไข้ เจ็บคอเล็กน้อย น้ำมูกไหล ไอ 1-2 วันต่อมาจะมีอาการเสียงแหบและไอเสียงก้อง และอาจได้ยินเสียงฮื้อ (Stridor) ตอนหายใจเข้า มักเกิดตามหลังอาการไอ เด็กบางรายอาจมีอาการหายใจลำบากร่วมด้วย ซึ่งมากน้อยขึ้นกับความรุนแรงของโรค อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นฉับพลันทันทีและจะเป็นมากในช่วงเวลากลางคืน (ตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 6โมงเช้า) บางรายเป็นมากจนทำให้สะดุ้งตื่น อาการจะทุเลาในช่วงกลางวัน
เด็กส่วนใหญ่อาการมักจะไม่รุนแรง และหายได้เองภายใน 3-7 วัน (บางรายอาจนานถึง 2 สัปดาห์)
ข้อแนะนำ ครู้ป
- ผู้ป่วยที่มีอาการหายใจหอบและมีเสียงฮื้ด (Stridor) ซึ่งแสดงว่ามีภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น นอกจากโรคนี้แล้ว ยังอาจเกิดจากคอตีบ สำลักสิ่งแปลกปลอม กล่องเสียงบวมจากการแพ้ สปาสโมดิกครู้ป ฝากกล่องเสียงอักเสบเฉียบพลัน
- เด็กที่เคยเป็นโรคครู้ปชนิดรุนแรง บางรายอาจกลายเป็นโรคภูมิแพ้หรือโรคหืดเมื่อโตขึ้น
- ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันไข้หวัด ที่สำคัญคือ อย่าสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย และหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่
การรักษา ครู้ป
1. ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย คือ มีไข้ ไอเสียงก้องมีเสียงอื้ดเป็นบางครั้งเฉพาะเวลาร้องไห้หรือเคลื่อนไหวร่างกาย โดยที่เด็กยังรู้สึกร่าเริง กินได้ ไม่อาเจียน ก็ให้การรักษาตามอาการ (เช่น ให้ยาลดไข้ - พาราเซตามอล) ให้เด็กดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ให้ความชื้นโดยการวางอ่างน้ำไว้ข้างตัวเด็ก
ขณะมีอาการกำเริบให้เด็กสูดไอน้ำอุ่น เช่น เป็นน้ำอุ่นจากก๊อกน้ำในห้องน้ำขณะปิดประตูห้องน้ำ แล้วนำเด็กเข้าไปอยู่ในนั้น นานอย่างน้อย 10 นาที หรือใช้ผ้าขนหนูจุ่มน้ำอุ่นให้หมาด ๆ แล้วนำมาจ่อใกล้ปากและจมูกเด็ก สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดทุกวัน ส่วนใหญ่มักจะหายไต้ภายใน 3-7 วัน
2. ถ้ามีอาการเสียงฮื้ดขณะพักอยู่นิ่ง ๆ หายใจลำบาก ซี่โครงและลิ้นปี่บุ๋ม ปากเขียว เล็บเขียว กลืนลำบาก กินไม่ได้ มีภาวะขาดน้ำ กระสับกระส่ายหรือซึม ควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว มักจะวินิจฉัยจากอาการเป็นหลัก บางครั้งอาจต้องตรวจพิเศษ เช่น เอกซเรย์ ใช้กล้องส่องตรวจกล่องเสียง (laryngoscopy) ตรวจหาเชื้อก่อโรค ตรวจเลือดเป็นต้น
การรักษา ในรายที่มีอาการรุนแรง จำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาโดยให้ออกซิเจนพ่นฝอยละอองน้ำ ให้ความชื้น ให้ยาลดการอักเสบและการบวมของเยื่อบุกล่องเสียง ได้แก่ ยาสตีรอยด์ ชนิดใดชนิดหนึ่งดังนี้
- เดกซาเมทาโชน ขนาด 0.6 มก./กก. ฉีด เข้ากล้ามครั้งเดียว หรือให้กินขนาด 0.15 มก./กก.ครั้งเดียว (ขนาดยาทั้งหมดไม่ควรเกิน 10 มก./ครั้ง)
- เพร็ดนิโซโลนให้กินขนาด 1 มก. /กก.ทุก 12 ชั่วโมง (ไม่ควรเกิน 60 มก./วัน) จนกระทั่ง 24 ชั่วโมงหลังจากอาการดีขึ้นแล้วหรือถอดท่อช่วยหายใจได้แล้ว
- ใช้สตีรอยด์ชนิดพ่น (เช่น budosenide) แทนชนิดกินหรือฉีด นอกจากนี้ยังอาจให้ยาอะดรีนาลินชนิดพ่น (nebulized adrenaline)
ส่วนยาปฏิชีวนะจะให้เฉพาะในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
ในรายที่หายใจไม่สะดวก ปากเขียว มีภาวะขาดออกซิเจน จำเป็นต้องใส่ท่อหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ
ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักจะหายได้เป็นปกติ มีส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง และมีอัตราตายต่ำมาก
- บุหรี่ไฟฟ้า: 5 ข้อดีและ 5 ข้อเสียของการใช้ที่คุณควรพิจารณา
- น้ำท่วมปอด: เมื่อหัวใจเป็นเหตุ
- บุหรี่ไฟฟ้า: ยิ่งสูบ ยิ่งเพิ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19