ในระยะแรก มีอาการหอบเหนื่อยเฉพาะเวลาออกแรงมากหรือทำงานหนัก ๆ และอาจมีอาการไอและหายใจลำบากในตอนดึก ๆ ช่วงหลังเจ้านอนแล้วจนต้องลุกขึ้นนั่งบางรายอาจมีอาการหอบคล้ายเป็นหืด ต้องลุกไป สูดหายใจที่ริมหน้าต่างจึงรู้สึกค่อยค่อยยังชั่ว
บางรายอาจรู้สึกจุกแน่นอึดอัด ในท้องหรือลิ้นปี่ปวดบริเวณชายโครงด้านขวา บวมที่ข้อเท้า
เมื่อเป็นมากขึ้น จะมีอาการหอบเหนื่อยมากขึ้น แม้ทำงานเพียงเล็กน้อยหรืออยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่สะดวก อ่อนเพลีย นอนราบไม่ได้ ต้องนอนหรือนั่งพิงหมอนสูง ๆ (หมอนหลายใบ) ปัสสาวะออกน้อย หรือบางรายอาจปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน เท้าบวมขึ้น และอาจมีท้องบวม (ท้องมาน) โดยมากมักจะไม่บวมที่หน้าหรือ หนังตาเช่นที่พบในผู้ป่วยเป็นโรคไต
เมื่อเป็นรุนแรง อาจมีอาการไอรุนแรง และมีเสมหะเป็นฟองสีแดงเรื่อ ๆ อาจมีอาการตัวเขียวริมผีปากเขียวกระสับกระส่าย ใจสั่น และหากไม่ได้รับการรักษาได้ทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได้
1.ผู้ป่วยโรคหัวใจ บางครั้งใช้เครื่องตรวจปอด อาจมีเสียงมีเสียงวี้ด (wheezing) คล้ายโรคหืด เรียกว่า อาการหืดจากโรคหัวใจ (cardiac asthma) ดั้งนั้นก่อนให้การรักษาผู้ป่วยที่สงสัยเป็นหืด ต้องแน่ใจว่าไม่มีอาการบวม ตับโต หรือมีประวัติของโรคหัวใจ
2.ผู้ป่วยที่กินยาช่วยหัวใจทำงาน เช่น ไดจอกซินต้องระวังหากกินเกินขนาดหรือในภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ อาจมีพิษต่อหัวใจได้ อาการเป็นพิษ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ตามัว ตาลาย ชีพจรเต้นช้ากว่านาทีละ 60 ครั้ง ดังนั้นถ้าผู้ป่วยกินยาขับปัสสาวะซึ่งอาจ ทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำอาจต้องให้กิน ยาน้ำแทสเซียมคลอไรด์ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 2-3 ครั้งร่วมด้วย
3.ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วย
- ติดต่อรักษากับแพทย์อย่าได้ขาด และกินยา
- ตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง
- งดแอลกอฮอล์ บุหรี่
- ห้ามตรากตรำงานหนัก
- งดอาหารเค็ม เพื่อลดบวมและป้องกันอาการกำเริบ