ไข้หวัดนก

ไข้หวัดนก (ไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีก ก็เรียก) จัดเป็น ไข้หวัดใหญ่ชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด เอสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 (H5N1) อันเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่จากสัตว์ปีกมาสู่คน พบผู้ป่วยโรคนี้ครั้งแรกที่ฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ.2540 ต่อมาเริ่มพบผู้ป่วยในประเทศเวียดนาม  และไทย (เมื่อปลายปี พ.ศ .2546) ในกัมพูชา อินโดนีเชีย และจีน (เมื่อปี พ.ศ.2548) อาเซอร์ไบจัน อียิปติ อิรัก ตุรกี จีบูติ (พ.ศ.2549) ลาว พม่า ไนจีเรีย ปากีสถาน (พ.ศ. 2550)

ไข้หวัดนกพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ และมีความรุนแรง ซึ่งมีอัตราตายศสูง

สาเหตุ ไข้หวัดนก

เกิดจากการติดเชื้อไข้หวัดนกซึ่งเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 เชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มีอยู่ในนกน้ำที่การอพยพย้ายถิ่น นกชายทะเล และนกป่า นกเหล่านี้เป็นพาหนะของโรค (ติดเชื้อโดยไม่มีอาการเจ็บป่วย) เป็นส่วนใหญ่ แต่จะปล่อยเชื้อออกมาทาง น้ำลาย น้ำมูก และมูลนก แพร่ให้นกธรรมชาติ นกบ้าน ฝูงสัตว์ปีกตามฟาร์มและบ้านเรือน เช่น ไก่ ไก่ชน ไก่งวง ไก่ต๊อก เป็ด ห่าน เป็นต้น ทำให้เกิดโรคระบาดและ การตายอย่างรวดเร็วของฝูงสัตว์ปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไก่ที่เลี้ยงตามบ้านและฟาร์มที่เป็นโรงเรือนเปิด ส่วนเป็ดในท้องทุ่งเมื่อมีการติดเชื้อชนิดนี้ส่วนหนึ่งจะป่วยและตาย แต่ส่วนหนึ่งจะเป็นพาหะ (ไม่มีอาการเจ็บป่วย) ซึ่งสามารถแพร่เชื้อให้สัตว์ปีกอื่น ๆ ต่อไป

นอกจากนี้ยังพบว่า เชื้อไข้หวัดนกยังสามารถติดต่อไปยังสัตว์ประเภทเสือ สุนัข แมว และหมู ทำให้สัตว์เหล่านี้ป่วยและตายได้ สำหรับแมวพบว่าสามารถติดต่อจากแมวสู่แมวด้วยกันเองได้อีกด้วย

การติดเชื้อจากสัตว์ปีกมาสู่คน  สัตว์ปีกที่ป่วยจะมีเชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น1อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย น้ำตา และมูลสัตว์ ซึ่งจะปนเปื้อนอยู่ตามตัวของสัตว์ปีกและสิ่งแวดล้อม คนเราสามารถติดเชื้อไข้หวัดนกได้ 2 ทาง ได้แก่

1. การสัมผัสกับสัตว์ปีก (โดยเฉพาะไก่) ที่ป่วยโดยตรง

2. การสัมผัสถูกสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อใน บริเวณที่เกิดโรคระบาดของสัตว์ปีก เช่น ดิน กรงหรือ เล้าสัตว์ น้ำหรืออาหารที่ป้อนสัตว์ เป็นต้น

                เชื้อจะติดมากับมือของผู้ป่วย เมื่อเผลอใช้นิ้วมือแยงตา แยงจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุตา และเยื่อจมูก

ระยะฟักตัว 2 – 8 วัน (เฉลี่ย 4 วัน)

กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ ได้แก่ผู้ที่คลุกคลีสัมผัสใกล้ชิดกับไก่ที่ป่วย หรืออยู่ในบริเวณที่มีการระบาดของไข้หวัดนกในฝูงสัตว์ปีก เช่น  ผู้ที่เลี้ยงไก่ ทำงานในฟาร์มไก่ ขนย้ายไก่ ชำแหละไก่ เด็กที่เล่นคลุกคลี กับไก่ ผู้ที่ทำหน้าที่ทำลายสัตว์ปีก เป็นต้น

การติดเชื้อจากคนสู่คน  แบบไข้หวัดใหญ่นั้นเกิด ได้ยาก จะต้องมีการสัมผัสอย่างใกล้ชิด เช่น แม่ดูแลลูก ที่ป่วย โดยการสัมผัสน้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย และการติดต่อจะสิ้นสุดที่ผู้ติดเชื้อคนที่ 2 (เช่น แม่ที่ติดเชื้อ จากลูก) ไม่ติดต่อให้คนที่ 3 ต่อไป

แต่เกรงกันว่า เชื้อไข้หวัดนกกลายพันธุ์โดย การแลกเปลี่ยนสารพันธุ์กรรมระหว่างไวรัสไข้หวัดนกกับ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ของคน เมื่อคนหรือหมูติดเชื้อไวรัสทั้ง 2 ชนิดพร้อมกัน  หากเกิดการกลายพันธุ์ก็สามารถติด จากคนสู่คนได้ง่าย และอาจมีการระบาดรุนแรงดังที่เคย เกิดขึ้นในอดีต (ในปี พ.ศ. 2461 – 2462  มีการระบาดใหญ่ ของไข้หวัดใหญ่สเปน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกราว 20 - 40 ล้านคน เกิดจากการกลายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่โดย การแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมในหมู)

อาการ ไข้หวัดนก

ผู้ป่วยจะมีอาการแบบไข้หวัดใหญ่ คือเริ่มด้วยอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วตัว อ่อนเพลีย เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ บางรายอาจมีอาการตาแดง ปวดท้อง อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย

                 ต่อมาผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการหายใจหอบเนื่องจากปอดอักเสบ ซึ่งอาจเกิดตั้งแต่ 1 – 16 วัน (ค่ามัธยฐาน 5 วัน) หลังมีไข้ บางรายอาจมีอาการปอดอักเสบหลังจากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินนำมาก่อน โดยไม่มีอาการเจ็บคอ เป็นหวัด ไอก็ได้

นอกจากนี้ บางรายอาจมีอาการท้องเดินรุนแรงนำมาก่อน แล้วตามมาด้วยอาการชัก หมดสติ และเนื่องจากภาวะสมองอักเสบก็ได้

                ในรายที่เป็นไม่รุนแรงและไม่มีภาวะแทรกซ้อนก็จะหายได้เองภายใน 2 – 7 วัน อาการรุนแรงมักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

                บางรายอาจติดเชื้อโดยไม่มีอาการแสดงก็ได้

การป้องการ ไข้หวัดนก

  1. เนื่องจากโรคนี้มีอาการคล้ายไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ แต่มีอันตรายร้ายแรงกว่ากันมาก เนื่องจากเกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งคนเรายังขาดภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนี้ ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยที่มีอาการไข้หรือ เป็นไข้หวัด และมีประวัติว่ามีการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย หรือผู้ป่วยไข้หวัดนก ภายใน 7 วันก่อนไม่สบาย หรืออยู่ในพื้นที่ที่เกิดการระบาดของไข้หวัดนก ภายใน 14 วันก่อนไม่สบาย ก็ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว หากเป็นโรคนี้  ควรได้ยาต้านไวรัสภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการ ซึ่งอาจช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้
  2. ผู้ที่สัมผัสสัตว์ปีก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งไก่หรือเป็ด) ที่ป่วยหรือตาย หรือผู้ป่วยไข้หวัดนก ควรเฝ้า สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากเป็นไปได้ควรทำการวัดไข้ด้วยปรอดทุกวัน วันละ 2 ครั้ง จนพ้นระยะฟักตัวของโรค
  3. แม้ว่าในปัจจุบันการติดเชื้อจากคนที่เป็นไข้หวัดนกโดยตรงนั้นยังเกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งต้องอยู่สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด แต่เพื่อความปลอดภัย  แพทย์  บุคลากร  สาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วย จะต้องป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อจากผู้ป่วย
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีกที่มีอาการป่วยหรือ ตาย และไม่นำสัตว์ปีกพวกนี้มาชำแหละเป็นอาหาร
  5. หากจำเป็นต้องสัมผัสสัตว์ปีกในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดนก ให้สวมหน้ากากอนามัย และถุงมือ (ถ้าไม่มีให้สวมถุงพลาสติก
    หนา ๆ แทน)
  6. ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ทุกครั้งและการสัมผัสสัตว์ปีก น้ำลาย น้ำมูก และมูลของสัตว์ปีก
  7. กินเนื้อสัตว์ปีก หรือไข่ที่ปรุงให้สุกแล้ว
  8. เมื่อมีสมาชิกในบ้านเป็นไข้หรือไข้หวัด ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันไข้หวัด หากสงสัยเป็นไขหวัดนก ให้รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว และผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาให้กินยาต้านไวรัส ได้แก่ โอเซลทามิเวียร์ป้องกัน ผู้ใหญ่กินขนาด 75 มก.(เด็กใช้ขนาดครึ่งหนึ่งของที่ใช้ในการรักษา) วันละครั้ง นาน 7–10 วัน
  9. สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข

                        •   ในกรณีที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ (ถ้าหากเป็นพร้อมกับไข้หวัดนก ก็อาจเสี่ยงต่อการทำให้มีการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมจนกลายพันธุ์เป็นไข้หวัดนกที่แพร่จากคนสู่คนได้ง่าย)

                        •   ทุกครั้งที่ให้การดูแลผู้ป่วยไข้หวัดนก ควรสวมหน้ากากอนามัย แว่นตาป้องกันการติดเชื้อ และเสื้อกาวน์ รวมทั้งหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่

                        •   ถ้ามีการสัมผัสผู้ป่วยไข้หวัดนก โดยไม่ได้ทำตามมาตรการป้องกันดังกล่าว ควรกินยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ขนาด 75 มก.วันละครั้ง นาน 7 – 10 วัน

                        •  เมื่อมีการสัมผัสผู้ป่วยไข้หวัดนก ควรเฝ้าระวังสังเกตอาการและวัดไข้ทุกวัน จนพ้นระยะฟักตัวของโรค หากมีอาการน่าสงสัยควรรีบทำการตรวจวินิจฉัย และอาจจำเป็นต้องให้ยารักษาแต่เนิ่น ๆ

การรักษา ไข้หวัดนก

                   ถ้าาพบผู้ป่วยเป็นไข้(≥ 38ซ)ไข้หวัดหรือไข้ร่วม กับหายใจหอบ และมีประวัติสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วย  หรือตายภายใน 7 วันก่อนป่วย  หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วันก่อนป่วย หรือพบผู้ป่วยสงสัยเป็นไข้หวัดนก ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล โดยเร็ว

                   แพทย์จะทำการวินิจฉัย โดยการนำสิ่งคัดหลั่ง บริเวณคอหอยโพรงหลังจมูกหรือหลอดลมไปตรวจหา  เชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น 1 ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น immunofluorescent assay (IFA) , reverse transcriptase polymerase chain reaction (RT-PCR), real time  PCR การแยกเชื้อในเซลล์เพาะเลี้ยง เป็นต้น  และทำการตรวจพิเศษ เช่น เอกซเรย์ปอด (พบร่องรอยการอักเสบของปอด) ตรวจเลือด (พบเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ต่ำเอนไซม์ตับได้แก่ AST และ ALT สูง ครีอะตินีนสูง)

                ถ้าตรวจพบหรือสงสัยเป็นไข้หวัดนก  มักจะต้องรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

การรักษา  แพทย์จะให้ยาต้านไวรัส ได้แก่ โอเซลทามิเวียร์ (oseltamivir) ซึ่งมีชื่อการค้า เช่น ทามิฟลู (tamiflu) ผู้ใหญ่ให้ขนาด  75 มก.วันละ 2 ครั้ง (เด็ก น้ำหนัก 15 กก.หรือน้อยกว่า 30 มก.น้ำหนัก 16-23 กก.ให้ครั้งละ 45 มก. น้ำหนัก 24 – 40 กก.ครั้งละ 60 มก.  น้ำหนักมากกว่า 40กก.ให้ครั้งละ 75 มก.วันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน ยานี้จะใช้ได้ผลดีควรให้ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการ

                ในรายที่มีอาการรุนแรง  แพทย์อาจพิจารณาเพิ่ม ขนาดยาเป็น 2 เท่า (เช่น ผู้ใหญ่ครั้งละ 150 มก.) นาน 7 – 10 วัน

                นอกจากนี้ จะให้การรักษาตามอาการหรือภาวะ ที่พบร่วม เช่น ถ้าหายใจหอบ ก็ใช้เครื่องช่วยหายใจ และให้ออกซิเจน

                ถ้าสงสัยมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนก็ให้ ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่สงสัย

                ในรายที่มีภาวการณ์หายใจล้มเหลว อาจพิจารณาให้สตีรอยด์ (ซึ่งยังสรุปไม่ได้แน่ชัดถึงประโยชน์ของการใช้ยานี้)

                ผลการรักษาขึ้นกับความรุนแรงของโรค ในรายที่มีการติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน มักจะมีอัตราตายสูง  มักตายภายใน 6-30 วัน หลังมีอาการ (เฉลี่ย 9-10 วัน)

                ในรายที่มีอาการไม่รุนแรงและไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก็มักจะรักษาให้หายขาดได้

[Total: 0 Average: 0]