การสูบบุหรี่ การสูบไอและการระบาดของโคโรนาไวรัส (COVID-19)

3 ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคซาร์ส รักษา อาการ

ประเด็นหลักประเด็นหนึ่งที่หลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูบไอกำลังพูดคุยเกี่ยวกับการระบาดของโคโรนาไวรัสคือประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ (และการสูบบุหรี่) ในเรื่องความเสี่ยงและความรุนแรงของการติดเชื้อโคโรนาไวรัส เมื่อไม่นานมานี้ นายบิลล์ เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก (NYC) กล่าวในการแถลงข่าวว่าผู้สูบไอนั้นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในสถานการณ์นี้ น่าแปลกที่แม้กระทั่งรอยเตอร์สก็รายงานคำแถลงนี้ ผมสงสัยว่าอะไรคือเหตุผลที่เราคิดว่าคำแถลงนี้ถูกต้อง และการรายงานคำแถลงของคนที่ไม่มีพื้นฐานด้านสาธารณสุขออกไปเช่นนั้น?

ความเชื่อมโยงระหว่างการสูบบุหรี่และการติดเชื้อโคโรนาไวรัสถูกหยิบยกขึ้นมาเนื่องจากมีผู้ชายติดเชื้อมากกว่าผู้หญิง สมมติฐานหนึ่ง (ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์) กล่าวว่าเป็นเพราะความถี่ของการสูบบุหรี่ในหมู่ชายชาวจีน (48.4%) นั้นสูงกว่าผู้หญิง (1.9%) มาก ที่มา: Statista การศึกษาวิจัยขนาดย่อมในกลุ่มผู้ป่วย 78 รายที่เป็นโรคปอดบวมที่เกิดจาก COVID-19 ซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์จีน ในจำนวนนั้น 67 ราย (85.9%) พบว่ามีอาการดีขึ้น / อาการทรงตัวหลังจาก 2 สัปดาห์ ในขณะที่ 11 ราย (14.4%) มีอาการลุกลามของโรค การศึกษาพบว่าประวัติของการสูบบุหรี่มีความเชื่อมโยงกับโอกาสในการลุกลามของโรคมากขึ้น 14 เท่า แต่มีผู้สูบบุหรี่เพียง 5 คนเท่านั้นที่อยู่ในกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาวิจัย และมีเพียง 3 คนที่มีการลุกลามของโรค ข้อมูลนั้นอ่อนเกินไปที่จะบอกอะไรได้ อัตราโอกาสของผู้มีประวัติการสูบบุหรี่ที่จะนำไปสู่การลุกลามของโรคคือ 14.285 แต่ช่วงความเชื่อมั่น (Confidence Interval) นั้นกว้างมาก (1.157-25.000) แสดงถึงความไม่แน่นอนในระดับหนึ่ง

การศึกษาวิจัยอีกงานหนึ่งที่สามารถนำมาใช้โดยอ้อมเพื่อตรวจสอบผลกระทบของการสูบบุหรี่ คือ การวิเคราะห์ผู้ป่วย 1,099 รายที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ สิ่งที่น่าสนใจก็คือมีเพียง 12.6% เท่านั้นที่เป็นผู้สูบบุหรี่ในปัจจุบันและ 1.9% เป็นผู้ที่เคยสูบบุหรี่ในอดีต ตัวเลขนั้นต่ำมากเมื่อพิจารณาจากปัจจัยสองประการ:
1. ผู้ป่วย 99.1% มีอายุ ≥ 15 ปี ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นตัวอย่างของกลุ่มประชากรที่สูบยาสูบ
2. ผู้ป่วย 58.1% เป็นผู้ชาย

เนื่องจากความถี่ของการสูบบุหรี่ในเพศชายนั้นสูงเกือบ 50% เราอาจคาดคะเนว่าอย่างน้อย 29% ของผู้ป่วยน่าจะเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ (แม้ว่าการสูบบุหรี่จะไม่ส่งผลเสียต่อการติดเชื้อก็ตาม) ดังนั้นสัดส่วนของผู้ป่วยที่เป็นผู้สูบบุหรี่ซึ่งได้รับรายงานนั้นจึงอยู่ในระดับต่ำ จากทั้งหมด 1,099 ราย จำนวน 926 ราย จัดเป็นกรณีที่ไม่รุนแรง (ซึ่ง 11.8% เป็นผู้สูบบุหรี่ในปัจจุบัน) และ 173 ราย จัดว่าเป็นกรณีรุนแรง (16.9% เป็นผู้สูบบุหรี่ปัจจุบัน) ผลการวิจัยที่วัดตอนสิ้นสุดการวิจัย (การเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก การใช้เครื่องช่วยหายใจหรือการเสียชีวิต) เกิดขึ้นในผู้ป่วย 67 ราย ซึ่ง 25.8% เป็นผู้สูบบุหรี่ในปัจจุบัน ผมควรย้ำว่าผมไม่สามารถทำการวิเคราะห์แบบหลายตัวแปรด้วยข้อมูลนี้ได้ (เช่น ปรับสถานะการสูบบุหรี่ด้วยปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุหรือ การเกิดสภาวะอาการอื่น ๆ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน ฯลฯ ) อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความถี่ของการสูบบุหรี่ในผู้ป่วยบางรายจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ในผู้ป่วยรายที่มีอาการรุนแรงนั้นมีความถี่ของการสูบบุหรี่ในระดับสูง ถึงกระนั้นตัวเลขก็ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากนี่เป็นการวิเคราะห์แบบเลือกกลุ่มศึกษาซึ่งอาจไม่ได้เป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมดของผู้ป่วยโรคนี้ที่ได้รับการยืนยัน เราจึงไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน แต่จำนวนผู้ป่วยในการศึกษาครั้งหลังนั้นสูงกว่าผู้ป่วย 78 รายที่ได้รับการวิเคราะห์ในการศึกษาก่อนหน้านี้มาก

ผมขอชี้แจงว่าการศึกษาเหล่านี้ไม่ได้บ่งชี้ผลกระทบใด ๆ ของโพรพิลีนไกลคอลต่อสายพันธุ์โคโรนาไวรัส (COVID-19) ที่เชื่อมโยงกับการแพร่ระบาดทั่วโลก ดังนั้นเราจึงไม่มีหลักฐานว่าการใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์และโพรพิลีนไกลคอลอาจส่งผลต่อการแพร่กระจายของโรคและความรุนแรงได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้น เราทราบว่าผู้ใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้ที่สูบบุหรี่ควบคู่ไปด้วยหรือเคยสูบบุหรี่มาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับผลกระทบจากการสูบบุหรี่ในปัจจุบันและในอดีต และหลายคนอาจก็เป็นโรคที่เกี่ยวเนื่องกับการสูบบุหรี่แล้ว ดังนั้นพวกเขาอาจอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่นี่ไม่ได้เกิดจากบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ หากมีการพบว่าการสูบบุหรี่นั้นเพิ่มการติดเชื้อและความรุนแรงของโรคจริง ผู้สูบบุหรี่ที่เปลี่ยนมาใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์จะมีการพยากรณ์โรคที่รุนแรงน้อยกว่า (เมื่อเทียบกับการสูบบุหรี่ต่อเนื่อง)

โดยสรุปแล้ว เราเห็นหลักฐานเบื้องต้นบางอย่างแต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดซึ่งบ่งชี้ว่าความถี่ของการสูบบุหรี่ในผู้ป่วย COVID-19 นั้นต่ำกว่าที่คาดไว้ (พิจารณาจากความถี่ของการสูบบุหรี่ในประชากรทั้งหมด) แต่อัตราความรุนแรงและการลุกลามของโรคค่อนข้างสูงเมื่อผู้สูบบุหรี่นั้นติดเชื้อ แต่หลักฐานยังอ่อนและไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด ดังนั้นเราจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวัง เราไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับผลกระทบใด ๆ ของบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ที่มีต่อการติดเชื้อโคโรนาไวรัสและการลุกลามของโรค และเราต้องไม่ตัดประเด็นความเป็นไปได้ที่การใช้โพรพิลีนไกลคอลอาจมีประโยชน์บางประการ ดังนั้นคำแนะนำที่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ การใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์และการแพร่ระบาดของโรคโคโรนาไวรัส มีดังนี้:

  1. พยายามเลิกบุหรี่ให้ได้
  2. หากคุณไม่สามารถเลิกสูบบุหรี่ด้วยตัวเองหรือด้วยวิธีการที่ได้รับอนุญาตในปัจจุบัน ให้ใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเลิกบุหรี่
  3. หากคุณเป็นผู้ใช้ที่ใช้ทั้งบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์และบุหรี่ยาสูบควบคู่กัน ให้พยายามเลิกใช้บุหรี่ยาสูบโดยสิ้นเชิง
  4. หากคุณเคยสูบบุหรี่มาก่อนและผู้ใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ปัจจุบัน คุณควรพิจารณาที่จะเลิกใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ด้วย แต่อย่าเสี่ยงหากคิดว่านั่นจะทำให้คุณกลับไปสูบบุหรี่อีก คุณควรใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ต่อไปหากการเลิกบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์มีโอกาสทำให้คุณกลับไปสูบบุหรี่อีก

หากคุณไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าการเริ่มสูบบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์จะป้องกันการติดเชื้อโคโรนาไวรัส หรือลดลดความรุนแรงของโรค ดังนั้นอย่าเริ่มสูบไอ

นอกจากนี้ ผมขอแนะนำชุมชนการแพทย์ที่สามารถเข้าถึงผู้ป่วยโคโรนาไวรัสและไวรัสในห้องปฏิบัติการ ดำเนินการนี้:

  1. บันทึกทั้งประวัติการสูบบุหรี่และสูบบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ในผู้ป่วยแต่ละราย
  2. ทำการศึกษาในห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของการได้รับโพรพิลีนไกลคอลที่มีต่ออัตราการรอดชีวิตของ COVID-19

ทำการทดลองทางคลินิกในกลุ่มผู้ป่วยที่เข้ารับรักษาในโรงพยาบาล โดยเพิ่มการพ่นละอองโพรพิลีนไกลคอลไกลคอลในระบบการรักษา

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ได้เห็นว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาไวรัสถูกนำมาใช้ (และใช้ในทางที่ผิด) ในเวทีการเมือง คำแถลงที่รายงานในรอยเตอร์สไม่ใช่แค่มาจากผู้ที่มีพื้นฐานด้านการสาธารณสุขเป็นศูนย์เท่านั้น แต่ยังมาจากคนที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าท่าทีทางการเมืองของเขานั้นมีอคติต่อการลดอันตรายจากยาสูบและบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของพฤติกรรมที่ขาดความรับผิดชอบจากผู้ที่ให้คำแนะนำแต่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนใด ๆ เราไม่ควรลืมการระบาดของโรคปอดอักเสบที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ (EVALI) เมื่อเร็ว ๆ นี้ในสหรัฐอเมริกา คนพวกนี้แถลงการณ์อย่างต่อเนื่องว่าบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เป็นสาเหตุการแพร่ระบาดของโรคปอด แม้จะไม่สมเหตุสมผลเลยก็ตาม และตอนนี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าอาการเจ็บป่วย EVALI นั้นเกิดจากน้ำมันกัญชาที่ผิดกฎหมายซึ่งมีส่วนผสมที่ไม่เหมาะสม คนเหล่านี้ไม่เคยออกมาขอโทษหรือยอมรับความผิดของตนต่อสาธารณะ ซึ่งทำให้เกิดความสับสนอย่างมาก จนคนอเมริกันบางคนยังเชื่อว่าบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เป็นต้นเหตุของการระบาด ไม่ใช่น้ำมันกัญชาที่ผิดกฎหมาย ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจในความเสียหายต่อสุขภาพของประชาชนที่เกิดจากคำแถลงที่ผ่านมา ซึ่งทำให้คนที่สูบไอหลายคนกลับไปสูบบุหรี่และผู้สูบบุหรี่ก็กล้าเปลี่ยนไปใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากของข้อมูลที่ผิดพลาดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเผยแพร่โดยนักการเมือง

ถ้ามีใครเชื่อว่าการระบาดของโคโรนาไวรัสควรได้รับการปฏิบัติอย่างไร้ความรับผิดชอบในระดับเดียวกันกับที่ผ่านมา และสมควรถูกใช้ในเกมการเมือง ถ้าเป็นอย่างนี้ผมก็มองไม่เห็นความสดใสในอนาคตเลยครับ

[Total: 2 Average: 4.5]

Leave a Reply