วัณโรคปอด หรือทีบี (TB ซึ่งย่อมาจาก tuberculosis) หรือโบราณเรียกว่าฝีในท้อง คือ โรคติดเชื้อเรื้อรังของปอดที่สามารถแพร่ให้คนที่อยู่ใกล้ชิดได้ จัดว่าเป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยชนิดหนึ่ง พบมากในผู้สูงอายุผู้ป่วยเอดส์ และผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ และมักพบคนที่ฐานะยากจน หรืออยู่กันอย่างแออัด
1.แนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย ดังนี้
- ควรไปพบแพทย์ตามนัด และกินยาให้ครบทุกวันตามที่แพทย์กำหนด
- พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารพวกโปรตีน (เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ)
- งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ และยาเสพติด
- จัดบ้านและห้องนอนให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกและแสงแดดส่องถึง
- เวลาไอหรือจาม ควรใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูปิดปาก
- ควรบ้วนเสมหะลงในภาชนะหรือกระป๋องที่มีฝาปิดมิดชิด แล้วนำเสมหะไปเผาไฟหรือฝังดิน
- ควรแยกออกห่างจากผู้อื่น เช่น แยกห้องนอน อย่าอยู่ใกล้ชิดกับคนอื่น อย่าเข้าไปในห้างสรรพสินค้า รถโดยสารสาธารณะ สถานบันเทิง ที่ชุมนุมชนและควรแยกถ้วย ชาม สำหรับอาหารและเครื่องใช้ออกต่างหาก จนกว่าจะกินยารักษาวัณโรคทุกวันแล้วอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และหายไอแล้ว ระหว่างนี้หากจำเป็นต้องเข้าใกล้คนอื่นหรือเข้าไปในที่ชุมนุมชน ควรใช้หน้ากาก อนามัยปิดปากและจมูก
สำหรับแม่ที่เป็นวัณโรคปอด ความแยกออกห่างจากลูก อย่ากอดจูบลูก และไม่ให้ลูกดูดนมตัวเองจนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อแล้ว
- ผู้ป่วยที่ต้องทำงานกับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เด็กเล็ก ควรอยู่แยกออกห่างจากคนเหล่านี้ จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อแล้ว
2. วัณโรคไม่ใช่โรคที่น่ากลัวหรือน่ารังเกียจ และเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการกินยารักษาวัณโรคทุกวันจนครบ 6 เดือนหรือตามที่แพทย์กำหนด ถึงแม้อาการดีขึ้นแล้วก็ไม่ควรหยุดกินยาเอง การกินยาไม่สม่ำเสมอหรือไม่ครบกำหนด อาจทำให้เชื้อดื้อยา รักษายาก สิ้นเปลือง และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ญาติ สมาชิกในครอบครัว และเพื่อนบ้าน ควรมีส่วนร่วมกระตุ้นและช่วยกำกับให้ผู้ป่วยกินยาทุกวัน ถ้าเป็นไปได้ ควรให้กินต่อหน้าและจดบันทึกในปฏิทินทุกวันเพื่อกันลืม
3. ควรสังเกตผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากยารักษาวัณโรค เช่น ผื่นคัน คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ดีซ่าน ตามัว หูอื้อ มีไข้ขึ้น เป็นต้น หากสงสัยควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด เพื่อปรับเปลี่ยนการใช้ยาให้เหมาะสมและสามารถกินยาได้อย่างต่อเนื่อง
ยาหลายชนิด ได้แก่ ไอเอ็นเอช ไรแฟมพิซินไพราซินาไมด์ อาจทำให้ตับอักเสบ (ดีซ่าน)ได้ในรายที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำมีประวัติเป็นโรคตับอยู่ก่อน หรืออายุมากกว่า 35 ปี เป็นต้น ควรทำการตรวจเลือดดูระดับเอนไซม์ตับ (AST, ALT) เพื่อประเมินว่ามีตับอักเสบเกิดขึ้นหรือไม่
4. ผู้ป่วยที่สงสัยมีการดื้อยา เช่น กินยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือตรวจเสมหะตั้งแต่เดือนที่ 5 ขึ้นไปยังพบเสมหะเมือครบเดือนที่ 2 กลับพบเชื้อ แต่การตรวจเสมหะเมื่อครบเดือนที่ 2 กลับพบเชื้อ ควรส่งปรึกษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาจจำเป็นต้องทำการเพาะเชื้อและ ทดสอบว่าเชื้อไวต่อยาชนิดใด จะได้เปลี่ยนไปใช้ยาที่ใช้ได้ผล และอาจต้องกินยาติดต่อ เดือน ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาดื้อต่อการใช้ยาอย่างมาก แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดปอดเพื่อลดปริมาณเชื้อลง ช่วยให้การใช้ยาได้ผลดีขึ้น
5. ผู้ป่วยบางรายเมื่อกินยารักษาวัณโรคครบตามกำหนดและตรวจเสมหะไม่พบเชื้อแล้ว ต่อมาอาจมีอาการกำเริบซ้ำได้ หากสงสัยควรกลับไปพบแพทย์ที่เคยให้การรักษาอยู่เดิม อาจจำเป็นต้องใช้สูตรยารักษาวัณโรคที่แตกต่างจากเดิม
6. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือสมาชิกในบ้านเดียวกับผู้ป่วย ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจพิเศษ ได้แก่ การเอกซเรย์ปอดการทดสอบทูเบอร์คูลิน ถ้าพบว่าเป็นวัณโรคปอดจะได้ให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ และหากพบว่ามีการติดเชื้อวัณโรค (แต่ยังไม่เป็นโรค) ก็จำเป็นต้องกินยาไอเอ็นเอช นาน 9 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรค
7. ผู้ที่มีอาการสงสัยว่าเป็นวัณโรคปอด เช่น เป็นไข้เรื้อรัง เบื่ออาหารและหนักลด ไอมีเสมหะเหลืองหรือเขียวนานเกิน 3 สัปดาห์ ไอเป็นเลือด เป็นต้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเซ็กร่างกาย ถ้าเป็นโรคนี้จะได้รักษาเสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันมิให้โรคลุกลาม และมิให้แพร่เชื้อให้ผู้อื่นต่อไป แต่ถ้าตรวจไม่พบเชื้อวัณโรค หรือให้ยารักษาวัณโรคแล้วไม่ดีขึ้น ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมลิออยโดชิส ซึ่งพบมากทางภาคอีสาน