กุ้งยิง

 กุ้งยิง คือ ตุ่มฝีเล็กๆ ที่เกิดที่ของเปลือกตา ซึ่งอาจพบได้ที่เปลือกตาบนแลล่าง แบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้แก่ 

  1. กุ้งยิงชนิดหัวผุด(external hordeolum/sty/stye) เป็นการอักเสบของต่อมเหงื่อ (gland of Moll) บริเวณผิวหนังตรงโคนขนตาจะเป็นหัวฝีผุดให้เห็นชัดเจน ตรงบริเวณขอบตา
  2. กุ้งยิงชนิดหลบใน(intemal hordeolum)เป็นการอักเสบของต่อมไขมัน (meibomiangland) บริเวณเยื่อบุเปลือกตา (เยื่อเมือกอ่อนสีชมพู่ มองเห็นเวลาปลิ้นเปลือกตา )หัวฝีจะหลบซ่อนอยู่ด้านในของเปลือกตา

                บางครั้งต่อมไขมันบริเวณเยื่อบุเปลือกตาอาจมีการอุดตันของรูเปิดเล็กๆ ทำให้มีเนื้อเยื่อรวมตัวอยู่ภายในต่อม กลายเป็นตุ่มนูนแข็งไม่เจ็บปวดอะไร เรียกว่า ตาเป็นซิสต์ (chalazion) บางครั้งอาจมีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปให้เกิดอักเสบ คล้ายเป็นกุ้งยิงชนิดหัวหลบใน ได้เมื่อหายอักเสบตุ่มซิสต์ก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

สาเหตุ กุ้งยิง

กุ้งยิง เกิดจากต่อมเหงื่อหรือต่อมไขมันที่โคนขนตามีอาการอุดตัน และเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียได้แก่ เชื้อสแตฟีโลค็อกคัส เป็นส่วนใหญ่ จนกลายเป็นตุ่มฝีขึ้นมามักเริ่มจากการมีฝุ่นหรือเชื้อโรคเข้าตา แล้วใช้มือที่ไม่สะอาดขยี้ตา ทำให้ต่อมที่เปลือกตาอุดตันและอักเสบ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย จะพบมากในเด็กอายุ 4 - 10 ปี

ปัจจัยที่เสริมให้เป็นกุ้งยิงได้ง่าย เช่น

อาการ กุ้งยิง

                มีอาการปวดที่เปลือกตา มีลักษณะปวดตุบๆ เฉพาะที่จุดใดจุดหนึ่ง เวลาก้มศีรษะต่ำกว่าระดับเอว จะปวดมากขึ้น และพบว่าบริเวณนั้นขึ้นเป็นตุ่มแข็ง แตะถูกเจ็บ ต่อมาค่อยๆ นุ่มลง บางครั้งมีหนองนูนเป่ง เห็นเป็นหัวขาวๆ เหลือง ๆ โดยมากจะขึ้นเพียงตุ่มเดียว อาจเป็นที่เปลือกตาบนหรือล่างก็ได้ น้อยคนอาจเกิดพร้อมกัน 2 – 3 ตุ่ม บางครั้งอาจมีอาการเปลือกตาบวม หรือมีขี้ตาไหล

                ถ้ากุ้งยิงขึ้นที่บริเวณหางตามักจะมีอาการรุนแรงอาจทำให้หนังตาบวมแดงจนตาปิด

                ถ้าปล่อยทิ้งไว้ 4 - 5 วันต่อมา ตุ่มฝีมักจะแตกเองแล้วหัวฝีจะยุบลงและหายปวด ถ้าหนองระบายได้หมดก็จะยุบหายไปภายใน 1 สัปดาห์

                ผู้ป่วยที่เคยเป็นกุ้งยิงมาครั้งหนึ่งแล้ว อาจจะมีอาการกำเริบเป็นๆ หาย ๆ อาจเป็นตรงจุดเดิมหรือย้ายที่หรือสลับข้างไปมาได้

การป้องกัน กุ้งยิง

  1. ควรรักษากุ้งยิงเมื่อเริ่มขึ้นเป็นตุ่มใหม่ๆ ด้วยการประคบด้วยน้ำอุ่นจัดๆ และยาปฏิชีวนะชนิดหยอดหรือป้าย แต่ถ้าปล่อยจนกลัดหนองการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวจะไม่ได้ผลอาจต้องสะกิจหรือผ่าระบายหนองออก
  2. ในกรณีที่ตุ่มฝีแตกหรือหายอักเสบแล้ว แต่ยังคงมีตุ่มแข็งอยู่ต่อไปโดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด อาจเกิดจากตาเป็นซีสต์ (chalazion) ซึ่งส่วนมากจะพบที่เปลือกตาบน เวลาหลับตาจะสังเกตเห็นบริเวณนั้นนูนกว่าปกติ และถ้าคลำดูจะรู้สึกเคลื่อนไปมาได้เล็กน้อยโรคนี้ไม่มีอันตราย อาจเป็นอยู่ 2 - 3 เดือนแล้วยุบหายไปเอง แต่ถ้าไม่หายอาจต้องผ่าหรือขูดออก
  3. รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง รวมทั้งกินอาหารที่มีคุณค่า พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดนอน ออกกำลัง กายเป็นประจำ
  4. รักษาความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า
  5. หลีกเลี่ยงการถูกฝุ่น ถูกลม แสงแดดจ้า ๆ และควันบุหรี่
  6. หลีกเลี่ยงการใช้มือ หรือผ้าเช็ดหน้าที่ไม่สะอาดเช็ดตา หรือขยี้ตา
  7. แก้ไขความผิดปกติเกี่ยวกับสายตา
  8. ควบคุมโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไซนัสอักเสบ ฟันผุ เป็นต้น

การรักษา กุ้งยิง

1. เมื่อเริ่มขึ้นเป็นตุ่มฝีใหม่ๆซึ่งเป็นตุ่มแข็งยังไม่หลัดหนองให้การรักษาดังนี้

  • ประคบด้วยน้ำอุ่นจัด ๆโดยใช้ผ้าสะอาดห่อหุ้มปลายด้ามซ้อน แล้วชุบน้ำอุ่นจัดๆ กดตรงบริเวณ หัวฝี และนวดเบา ๆทำเช่นนี้วันล่ะ 4 ครั้ง ครั้งละ 20 - 30 นาที หลังประคบทุกครั้งให้ใช้ยาป้ายตาหรือหยอดตา ที่เข้ายาปฏิชีวนะ
  • ถ้าปวดให้ยาแก้ปวด 
  • ถ้าหนังตาบวมแดง หรือมีต่อมน้ำเหลืองที่ หน้าหูโตร่วมด้วยให้กินไดคล็อกซาซิลลิน หรือ อีริโทรไมชิน เป็นเวลา 5-7 วัน

2. ถ้าตุ่มฝีเป่งเห็นหัวหนองชัดเจน ควรสะกิดหรือผ่านระบายหนองออก แล้วให้กินยาปฏิชีวนะดังกล่าวข้างต้น

3. ถ้าเป็นๆ หายๆ บ่อยซึ่งชวนสงสัยว่าอาจมีภาวะซ่อนเร้นอื่นๆ เช่น เบาหวาน สายตาผิดปกติ เป็นต้น ควรแนะนำไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

[Total: 1 Average: 5]