กุ้งยิง คือ ตุ่มฝีเล็กๆ ที่เกิดที่ของเปลือกตา ซึ่งอาจพบได้ที่เปลือกตาบนแลล่าง แบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้แก่
- กุ้งยิงชนิดหัวผุด(external hordeolum/sty/stye) เป็นการอักเสบของต่อมเหงื่อ (gland of Moll) บริเวณผิวหนังตรงโคนขนตาจะเป็นหัวฝีผุดให้เห็นชัดเจน ตรงบริเวณขอบตา
- กุ้งยิงชนิดหลบใน(intemal hordeolum)เป็นการอักเสบของต่อมไขมัน (meibomiangland) บริเวณเยื่อบุเปลือกตา (เยื่อเมือกอ่อนสีชมพู่ มองเห็นเวลาปลิ้นเปลือกตา )หัวฝีจะหลบซ่อนอยู่ด้านในของเปลือกตา
บางครั้งต่อมไขมันบริเวณเยื่อบุเปลือกตาอาจมีการอุดตันของรูเปิดเล็กๆ ทำให้มีเนื้อเยื่อรวมตัวอยู่ภายในต่อม กลายเป็นตุ่มนูนแข็งไม่เจ็บปวดอะไร เรียกว่า ตาเป็นซิสต์ (chalazion) บางครั้งอาจมีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปให้เกิดอักเสบ คล้ายเป็นกุ้งยิงชนิดหัวหลบใน ได้เมื่อหายอักเสบตุ่มซิสต์ก็ยังคงอยู่เช่นเดิม
สาเหตุ กุ้งยิง
กุ้งยิง เกิดจากต่อมเหงื่อหรือต่อมไขมันที่โคนขนตามีอาการอุดตัน และเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียได้แก่ เชื้อสแตฟีโลค็อกคัส เป็นส่วนใหญ่ จนกลายเป็นตุ่มฝีขึ้นมามักเริ่มจากการมีฝุ่นหรือเชื้อโรคเข้าตา แล้วใช้มือที่ไม่สะอาดขยี้ตา ทำให้ต่อมที่เปลือกตาอุดตันและอักเสบ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย จะพบมากในเด็กอายุ 4 - 10 ปี
ปัจจัยที่เสริมให้เป็นกุ้งยิงได้ง่าย เช่น
- ไม่รู้จักรักษาความสะอาด เช่นปล่อยให้ผิวหนังมือ และเสื้อผ้าสกปรก
- มีความผิดปกติเกี่ยวกับสายตา เช่นสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ตาเข เป็นต้น
- สุขภาพทั่วไปไม่ดี เช่น เป็นโรคเรื้อรัง ขาดอาหาร ฟันผุ ไซนัสอักเสบ อดนอน เป็นต้น
- มีภาวะที่ทำให้ติดเชื้อง่าย เช่น เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง เบาหวาน กินยาสตีรอยด์นานๆ เป็นต้น
อาการ กุ้งยิง
มีอาการปวดที่เปลือกตา มีลักษณะปวดตุบๆ เฉพาะที่จุดใดจุดหนึ่ง เวลาก้มศีรษะต่ำกว่าระดับเอว จะปวดมากขึ้น และพบว่าบริเวณนั้นขึ้นเป็นตุ่มแข็ง แตะถูกเจ็บ ต่อมาค่อยๆ นุ่มลง บางครั้งมีหนองนูนเป่ง เห็นเป็นหัวขาวๆ เหลือง ๆ โดยมากจะขึ้นเพียงตุ่มเดียว อาจเป็นที่เปลือกตาบนหรือล่างก็ได้ น้อยคนอาจเกิดพร้อมกัน 2 – 3 ตุ่ม บางครั้งอาจมีอาการเปลือกตาบวม หรือมีขี้ตาไหล
ถ้ากุ้งยิงขึ้นที่บริเวณหางตามักจะมีอาการรุนแรงอาจทำให้หนังตาบวมแดงจนตาปิด
ถ้าปล่อยทิ้งไว้ 4 - 5 วันต่อมา ตุ่มฝีมักจะแตกเองแล้วหัวฝีจะยุบลงและหายปวด ถ้าหนองระบายได้หมดก็จะยุบหายไปภายใน 1 สัปดาห์
ผู้ป่วยที่เคยเป็นกุ้งยิงมาครั้งหนึ่งแล้ว อาจจะมีอาการกำเริบเป็นๆ หาย ๆ อาจเป็นตรงจุดเดิมหรือย้ายที่หรือสลับข้างไปมาได้
การป้องกัน กุ้งยิง
- ควรรักษากุ้งยิงเมื่อเริ่มขึ้นเป็นตุ่มใหม่ๆ ด้วยการประคบด้วยน้ำอุ่นจัดๆ และยาปฏิชีวนะชนิดหยอดหรือป้าย แต่ถ้าปล่อยจนกลัดหนองการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวจะไม่ได้ผลอาจต้องสะกิจหรือผ่าระบายหนองออก
- ในกรณีที่ตุ่มฝีแตกหรือหายอักเสบแล้ว แต่ยังคงมีตุ่มแข็งอยู่ต่อไปโดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด อาจเกิดจากตาเป็นซีสต์ (chalazion) ซึ่งส่วนมากจะพบที่เปลือกตาบน เวลาหลับตาจะสังเกตเห็นบริเวณนั้นนูนกว่าปกติ และถ้าคลำดูจะรู้สึกเคลื่อนไปมาได้เล็กน้อยโรคนี้ไม่มีอันตราย อาจเป็นอยู่ 2 - 3 เดือนแล้วยุบหายไปเอง แต่ถ้าไม่หายอาจต้องผ่าหรือขูดออก
- รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง รวมทั้งกินอาหารที่มีคุณค่า พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดนอน ออกกำลัง กายเป็นประจำ
- รักษาความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า
- หลีกเลี่ยงการถูกฝุ่น ถูกลม แสงแดดจ้า ๆ และควันบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการใช้มือ หรือผ้าเช็ดหน้าที่ไม่สะอาดเช็ดตา หรือขยี้ตา
- แก้ไขความผิดปกติเกี่ยวกับสายตา
- ควบคุมโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไซนัสอักเสบ ฟันผุ เป็นต้น
การรักษา กุ้งยิง
1. เมื่อเริ่มขึ้นเป็นตุ่มฝีใหม่ๆซึ่งเป็นตุ่มแข็งยังไม่หลัดหนองให้การรักษาดังนี้
- ประคบด้วยน้ำอุ่นจัด ๆโดยใช้ผ้าสะอาดห่อหุ้มปลายด้ามซ้อน แล้วชุบน้ำอุ่นจัดๆ กดตรงบริเวณ หัวฝี และนวดเบา ๆทำเช่นนี้วันล่ะ 4 ครั้ง ครั้งละ 20 - 30 นาที หลังประคบทุกครั้งให้ใช้ยาป้ายตาหรือหยอดตา ที่เข้ายาปฏิชีวนะ
- ถ้าปวดให้ยาแก้ปวด
- ถ้าหนังตาบวมแดง หรือมีต่อมน้ำเหลืองที่ หน้าหูโตร่วมด้วยให้กินไดคล็อกซาซิลลิน หรือ อีริโทรไมชิน เป็นเวลา 5-7 วัน
2. ถ้าตุ่มฝีเป่งเห็นหัวหนองชัดเจน ควรสะกิดหรือผ่านระบายหนองออก แล้วให้กินยาปฏิชีวนะดังกล่าวข้างต้น
3. ถ้าเป็นๆ หายๆ บ่อยซึ่งชวนสงสัยว่าอาจมีภาวะซ่อนเร้นอื่นๆ เช่น เบาหวาน สายตาผิดปกติ เป็นต้น ควรแนะนำไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด