ไข้หวัด เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางคนอาจเป็นปีละหลายครั้ง โดยเฉพาะในเด็กเล็กและเด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียนในปีแรก ๆ อาจเป็นเฉลี่ย ประมาณเดือนละครั้ง ทำให้ต้องสูญเสียแรงงาน เวลาเรียนและสิ้นเปลืองเงินทองไปปีละมาก ๆทั้งนี้เนื่องจากเชื้อไวรัส ที่เป็นสาเหตุของไข้หวัด มีอยู่มากกว่า 200 ชนิด ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิดอาการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนต้น (จมูก และคอ) ครั้งละชนิดเมื่อมีอายุมากขึ้น ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดต่าง ๆ มากขึ้น ก็จะป่วยเป็นไข้หวัดห่างขึ้นและมีอาการรุนแรงน้อยลงไป
โรคนี้สามารถติดต่อกันได้ง่าย โดยการอยู่ใกล้ชิด กัน จึงพบเป็นกันมากตามโรงเรียน โรงงาน และที่ ๆ มีคนอยู่รวมกลุ่มกันมาก ๆ เป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปี มักจะพบมากในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว หรือในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ส่วนในฤดูร้อนจะพบน้อยลง
อุณหภูมิร่างกายโดยเฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ 37°C (98.6°F) เพิ่มขึ้นชั่วคราว
มองหาการดูแลทางการแพทย์ไปพบแพทย์ทันทีหากบุตรหลานมีอาการดังต่อไปนี้
เกิดจากเชื้อหวัด ซึ่งเป็นไวรัส ( virus ) มีอยู่มากกว่า 200 ชนิดจากกลุ่มไวรัส 8 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มไวรัส ที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มไวรัสไรโน ( rhinovirus ) ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด นอกนั้นก็มีกลุ่มไวรัสโคโรนา ( corona- virus ) กลุ่มไวรัสอะดีโน (adenovirus ) กลุ่มอาร์เอสวี( respiratory syncytial virus/RSV ) กลุ่มไวรัสพารา- อินฟลูเอนซา ( parainfluenza virus ) กลุ่มเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่ ( influenza virus ) กลุ่มไวรัสเอนเทอโร ( enterovirus) กลุ่มเชื้อเริม ( herpes simplex virus ) เป็นต้น การเกิดโรคขึ้นในแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อหวัดเพียงชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิคุ้นกันต่อ เชื้อหวัดชนิดนั้น ในการเจ็บป่วยครั้งใหม่ก็จะเกิดจาก
เชื้อหวัดชนิดใหม่ หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย เชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ ผู้ป่วยไอหรือจามรด ภายในระยะไม่เกิน
1 เมตร ซึ่งจัด ว่าเป็นการแพร่กระจายทางละอองเสมหะที่มีขนาดใหญ่( droplet transmission )
นอกจากนี้ เชื้อหวัดยังอาจติดต่อโดยการสัมผัส กล่าวคือ เชื้อหวัดอาจติดที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่อง ใช้ ( เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม ของเล่นหนังสือ โทรศัพท์ เป็นต้น ) หรือสิ่งแวดล้อม เมื่อคน ปกติสัมผัสถูกมือของผู้ป่วยหรือสิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคน ๆ นั้น และเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อ ก็จะเข้าสู่ร่างกายของคน ๆ นั้น จนกลายเป็นไข้หวัดได้
ระยะฟักตัว ( ระยะตั้งแต่ผู้ป่วยรับเชื้อเข้าไปจนกระทั้งมีอาการเกิดขึ้น ) 1-3 วัน
มีไข้เป็นพัก ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย ปวด หนักศีรษะเล็กน้อย เป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกใส จาม ไข้หวัดอาจติดต่อโดยการสัมผัส
คอแห้ง หรือเจ็บคอเล็กน้อย ไอแห้ง ๆ หรือไอมีเสมหะ เล็กน้อย ลักษณะสีขาว บางครั้งอาจทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณ ลิ่นปี่เวลาไอ ในเด็กเล็กอาจมีอาเจียนเวลาไอ
ไข้ น้ำมูก เยื่อจมูกบวมและแดง คอแดงเล็กน้อย ในเด็กอาจพบทอนซิลโต แต่ไม่แดงมาก และไม่มีหนอง
การรักษาด้วยตนเอง ยารักษาโรค เช่น พาราเซตามอลและไอบูโพรเฟน อาจช่วยลดอาการปวดได้ หลีกเลี่ยงการให้แอสไพรินแก่เด็กเนื่องจากอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยที่ร้ายแรงและพบได้ยาก
เนื่องจากไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ เพียงแต่ให้การรักษาไปตามอาการเท่านั้น ได้แก่
1. แนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ดังนี้
2. ให้ยารักษาตามอาการดังนี้
ก. สำหรับผู้ใหญ่และเด็กโต (อายุมากกว่า 5 ปี)
• ถ้ามีไข้ ให้พาราเซตามอล ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้เอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์
ชินโดรม
• ถ้ามีอาการน้ำมูกไหลมากจนสร้างความ รำคาญ ให้ยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน ใน 2-3 วันแรก เมื่อทุเลาแล้วควรหยุดยา หรือกรณีที่มี อาการไม่มาก ก็ไม่จำเป็นต้องให้ยานี้
• ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่นมาก ๆ หรือจิบ
ข. สำหรับเด็กเล็กและทารก
• ถ้ามีไข้ให้พาราเซตามอลชนิดน้ำเชื่อม
• ถ้ามีน้ำมูกมาก ให้ใช้ลูกยางเบอร์ 2 ดูดน้ำมูกบ่อย ๆ (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรใช้น้ำเกลือหยอดในจมูกก่อน) หรือใช้กระดาษทิชชูพันเป็นแท่งสอดเข้าไปเช็ดน้ำมูก (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรชุบน้ำสุก หรือน้ำเกลือพอชุ่มก่อน)
• ถ้ามีอาการไอจิบน้ำอุ่นมาก ๆ หรือจิบน้ำ - ผึ้งผสมมะนาว ถ้ามีอาการอาเจียนเวลาไอ ไม่จำเป็นต้อง ให้ยาแก้อาเจียน ควรแนะนำให้ป้อนนมและอาหารทีละน้อยแต่บ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนจะเข้านอน
3. ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็นต้องให้ เพราะไม่ได้ผลต่อการฆ่าเชื้อหวัดซึ่งเป็นไวรัส (อาการที่สังเกตได้คือ มีน้ำมูกใส ๆ หรือสีขาว) ยกเว้นในรายที่สงสัยว่าจะมีอาการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม เช่น มีไข้ทุกวันติดต่อกันเกิน 4 วัน มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือสีเขียวเกิน 24 ชั่วโมง หรือปวดหู หูอื้อ ยาปฏิชีวนะ ให้เลือกใช้เพนิชิลลินวี อะม็อกชีชิลลิน ในรายที่แพ้แพนิชิลลินให้ใช้อีริ- ไทรไมซิ หรือร็อกชิโทรไมซินแทน ควรให้นาน 7-10 วัน
4. ถ้าไอมีเสมหะเขียว ให้งดยาแก้แพ้ และ ยาระงับการไอและให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ วันละ 10- 15 แก้ว
5. ถ้ามีอาการหอบ หรือนับการหายใจได้เร็วกว่า ปกติ (เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปี หายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปี หายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที หรือมีไข้นานเกิน 7 วัน ควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว อาจเป็นปอดอักเสบ หรือภาวะรุนแรงอื่น ๆ ได้ อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น
6. ในเด็กถ้ามีอาการชักร่วมด้วย ดูเรื่อง “ชักจากไข้”
7. ถ้าสงสัยเป็นไข้หวัดนก เช่น มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายภายใน 7 วัน หรืออยู่ใน พื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วัน ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว
การติดเชื้อไวรัสที่พบได้ทั่วไปซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง การแสดงอาการ:
การติดเชื้อในลำไส้ซึ่งอาการรวมถึง ท้องเสีย ปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน และมีไข้ การแสดงอาการ:
ภาวะที่มักเกิดในสภาพแวดล้อมที่ร้อนซึ่งอุณหภูมิร่างกายเพิ่มสูงขึ้นอย่างเป็นอันตราย ทำให้เกิดอาการสับสนหรือหมดสติ การแสดงอาการ:
การติดเชื้อแบคทีเรียที่อาจทำให้เจ็บหรือคันคอ การแสดงอาการ:
อาการอักเสบเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อข้อต่อหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงข้อต่อบริเวณมือและเท้า การแสดงอาการ: