ภาวะตะกั่วเป็นพิษ คือ ร่างกายรับตะกั่วที่เป็นสารโลหะหนัก เข้าไปในปริมาณมากเกินอาจมีพิษต่อระบบประสาทและสมอง และระบบต่างๆ ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้เป็นครั้งคราว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
สาเหตุ ตะกั่วเป็นพิษ
เกิดจาการสูดไอตะกั่ว หรือกินหรือสัมผัสสารตะกั่ว (ดูดซึมผ่านผิวหนัง) เป็นเวลานาน จนร่างกายมี การสะสมสารตะกั่วถึงระดับที่เป็นพิษ
มักเกิดจากการประกอบอาชีพในโรงงานที่มีสารตะกั่ว หรือเกิดจากความประมาทเลินเล่อ หรือรู้เท่าไม่ ถึงการณ์ หรือเกิดจากการเล่นซนของเด็ก ๆ
ในบ้านเราอาจพบการรับพิษสารตะกั่วจากแหล่งต่าง ๆ เช่น
- ทำงานในโรงงานทำแบตเตอรี่หรือถ่านไฟฉายร้านอัดแบตเตอรี่ หรือขายแบตเตอรี่ ร้านเจียระไนเพชรพลอย (ซึ่งมีเครื่องมือที่มีตะกั่วเป็นส่วนประกอบ) โรงพิมพ์ที่ใช้ตัวพิมพ์ทำจากสารตะกั่ว ร้านเชื่อมโลหะ เป็นต้น
- ใช้เปลือกแบตเตอรี่ที่ทิ้งแล้ว มาเป็นเชื้อเพลิง เคี่ยวน้ำตาล หรือมาปูลาดเป็นทางเดิน
- ดื่มน้ำที่มีสารตะกั่วเจือปน เช่น น้ำจากบ่อที่ แปดเปื้อนสารตะกั่ว หรือน้ำจากท่อที่มีส่วนผสมของ ตะกั่วมากเกินไป
- สีทาบ้านและสีที่ใช้ทาของเล่น ที่มีสารตะกั่ว เจือปน เด็กอาจหยิบกินโดยรู่เท่าไม่ถึงการณ์
- แป้งทาเด็กที่มีสารตะกั่วเจือปน (เช่น ร้านขายยานำแป้งที่ใช้ผสมสีทาบ้าน มาขายเป็นแป้งทาแก้ ผดผื่นคัน) ผู้ปกครองซื้อมาทาเด็กโดยรู่เท่าไม่ถึงการณ์ จนเกิดพิษตะกั่วเรื้อรัง
บางครั้งอาจเป็นกันทั้งครอบครัวหรือทั้งหมู่บ้าน หรือทั้งโรงงาน ถ้าหากมีการรับสารตะกั่วจากแหล่งเดียวกัน เช่น ดื่มน้ำจากบ่อเดียวกัน หรือทำงานในโรงงานเดียวกัน
อาการ ตะกั่วเป็นพิษ
ผู้ป่วยอาจแสดงอาการได้หลายอย่าง เช่นปวดบิดในท้องอย่างรุนแรงโดยหาสาเหตุไม่พบ ร่วมกับอาการ ท้องผูก หรือไม่ก็ถ่ายเป็นเลือด
อาจมีอาการซีด เนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย เร็วขึ้น และสร้างได้น้อยเนื่องจากพิษของตะกั่วที่มีต่อระบบเลือด
อาจมีการปลายประสาทอักเสบ ซึ่งจะพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ที่พบได้บ่อย คือ ประสาทมือเป็น อัมพาต ทำให้ข้อมือตก เหยียดไม่ขึ้น และประสาทเท้า เป็นอัมพาต ทำให้ปลายเท้าตก เดินขาปัด ที่ร้ายแรงได้แก่ ภาวะผิดปกติทางสมอง ซึ่งจะพบ มากในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ส่วนผู้ใหญ่พบได้น้อย เด็กจะมีอาการเดินเซ อาเจียน ซึม เพ้อ บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิมนำมาก่อน แล้วจะ มีอาการชักและหมดสติ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษา ก็มักจะเสียชีวิตในที่สุด หรือไม่ก็อาจกลายเป็นสมองพิการ และปัญญาอ่อน
ส่วนในรายที่มีพิษตะกั่วเรื้อรังอาจมีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ หงุดหงิด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดข้อและกล้ามเนื้อ ขาเป็นตะคริว
บางรายอาจพบรอยสีเทาๆ ดำๆ ของสารตะกั่วที่ ขอบเหงือกในผู้ที่ไม่มีฟันจะไม่พบอาการนี้ และในเด็กก็มีโอกาสพบอาการดังกล่าวได้น้อย
การป้องกัน ตะกั่วเป็นพิษ
- ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสารตะกั่ว (เช่น โรงงานแบตเตอรี่) ควรหามาตรการป้องกันโดยการจัดสภาพการทำงานให้ปลอดภัย (เช่น มีเสื้อคลุมป้องกันพิษตะกั่ว มีอ่างน้ำและห้องอาบน้ำพอเพียง มีทางระบายไม่ให้มีการสะสมของฝุ่นตะกั่ว) ห้ามสูบบุหรี่และกินอาหารในห้องที่มีสารตะกั่ว และควรมีการตรวจระดับตะกั่วในเลือด และปัสสาวะทุก 6 เดือน ถ้าพบว่าระดับตะกั่วสูงควรให้หยุดทำงานหรือเปลี่ยนไปทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับสารตะกั่ว ถ้าสูงมากควรให้กินยาลดสารตะกั่ว ถึงแม้จะยังไม่มีอาการแสดงก็ตาม
- ควรแนะนำให้ประชาชนทั่วไปทราบถึงอันตรายของตะกั่วซึ่งเจือปนอยู่ในอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น แบตเตอรี่ ถ่านไปฉาย สีทาบ้านของเล่นเด็ก เป็นต้น เพื่อป้องกันมิให้นำไปใช้ในทางที่ผิด ๆ หรือหาทางป้องกันมิให้เด็กๆ หยิบกินเล่นด้วยความไร้เรียงสาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์
การรักษา ตะกั่วเป็นพิษ
หากสงสัย ควรส่งโรงพยาบาล ถ้ามีอาการชัก ให้ฉีดไดอะซีแพม ก่อนส่งมักจะวินิจฉัยโดยการตรวจดูระดับตะกั่วในเลือด(พบสูงกว่า 80 ไมโครกรัม/เลือด/100มล.) และในปัสสาวะ (พบสูงกว่า 1 มก./ปัสสาวะ 24 ชั่วโมง) สารคอโพรพอร์ไพริน (coproporphyrin) ในปัสสาวะจะมีค่าสูงกว่า 50 ไมโครกรัม/ปัสสาวะ100 มล.
การตรวจดูเม็ดเลือดแดง จะพบลักษณะที่เรียกว่า basophilic stipping การตรวจเอกซเรย์ อาจพบรอยทึบแสงของสาร ตะกั่วในลำไส้ และรอยสะสมของตะกั่วที่ปลายกระดูกแขนขา
การรักษา มักจะฉีดยาขับตะกั่ว ได้แก่ ไดเมอร์-แคปรอล (dimercaprol) เช่น บีเอแอล (BAL) ร่วมกับ แคลเซียมไดโซเดียมอีดีเทต (calcium disodium edetate) เช่น อีดีทีเอ (EDTA) เป็นเวลา 5-7 วัน
เมื่ออาการดีขึ้น ควรให้กินเพนิซิลลามีน (penicillamine) ต่ออีก 1-2 เดือน (ในผู้ใหญ่) หรือ 3-6 เดือน (ในเด็ก)
ผลการรักษา ถ้าไม่มีอาการทางสมอง ก็มักจะหาย เป็นปกติได้ แต่ถ้ามีอาการทางสมอง อาจมีอันตรายถึง ทุพพลภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี อาจมีอัตราตายถึงร้อยละ 25