ไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องรุนแรงที่ต้องผ่าตัด หากพบมีอาการปวดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวาควรนึกนึกโรคนี้ไว้ก่อนเสมอ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย พบมากในช่วงอายุ 10-30 ปี พบได้น้อยในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี (เนื่องจากโคนไส้ติ่งค่อนข้างกว้าง) และในผู้สูงอายุ (เนื่องจากไส้ติ่งตีบแฟบมีเนื้อเยื่อหลงเหลือน้อย) พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย คาดประมาณว่าในชั่วชีวิตของคนเรามีโอกาสเป็นโรคนี้ร้อยละ 7 หรือในปีๆ หนึ่งมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 1 ใน 1,000 คน

สาเหตุ ไส้ติ่งอักเสบ

สาเหตุที่สำคัญคือ เกิดจากภาวะอุดตันของรูไส้ติ่ง* ที่พบบ่อยที่สุดคือจากเศษอุจจาระแข็งๆ ซึ่งเรียกว่า นิ่วอุจจาระ (fecalith) ตกลงไปในรูไส้ติ่ง นอกจากนั้นอาจเกิดจากสิ่งแปลกปลอม (เช่น เมล็ดผลไม้) เนื้อเยื่อน้ำเหลือง (lymphoid tissue) ของไส้ติ่งที่โตขึ้น หนอนพยาธิ (ที่สำคัญคือ พยาธิไส้เดือน) เนื้องอก เมื่อเกิดการอุดกั้น  สิ่งคัดหลั่งที่ไส้ติ่งหลั่งอยู่เป็นปกติก็จะเกิดการคั่งอยู่ในรูไส้ติ่ง ทำให้ไส้ติ่งบวมและมีแรงดันภายในไส้ติ่งสูงขึ้น ประกอบกับการบีบขับของไส้ติ่ง ทำให้เกิดอาการปวดท้องรอบๆ สะดือ ขณะเดียวกันเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัยในรูไส้ติ่งจะมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว รุกล้ำเข้าไปในเนื้อเยื่อของไส้ติ่ง ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงตามมา ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวาและในที่สุดเนื้อไส้ติ่งเกิดการเน่าตายและแตกทะลุได้ บางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบจากเชื้อไวรัสไซโตเมกาโล (cytomegalovirus) ซึ่งมักพบในผู้ป่วยเอดส์ บางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุก็ได้

อาการ ไส้ติ่งอักเสบ

ลักษณะโดดเด่น คือ มีอาการปวดท้องที่มีลักษณะ ต่อเนื่องและปวดแรงขึ้นนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็มักจะปวดอยู่หลายวัน จนผู้ป่วยทนไม่ไหวต้องนำส่งโรงพยาบาล แรกเริ่มอาจปวดแน่นตรงลิ้นปี่คล้ายโรคกระเพาะหรือปวดบิดเป็นพักๆ รอบๆ สะดือคล้ายอาการท้องเดินอาจเข้าส้มบ่อยแต่ถ่ายไม่ออก (บางรายอาจสวนด้วยยาถ่ายเอง) แต่บางรายอาจมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวร่วมด้วย

  • ผู้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วยเสมอ ถ้าผู้ป่วยไม่มีอาการเบื่ออาหารเลย อาจต้องคิดถึงสาเหตุอื่น
  • ผู้ป่วยมักมีอาการอาเจียนตามหลังอาการปวดท้อง (อาจมีอาการคลื่นไส้ก่อนปวดท้อง) ซึ่งมักเป็นเพียง 1-2 ครั้ง ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนก่อนปวดท้อง อาจไม่ใช้ไส้ติ่งอักเสบ

อาการปวดท้องมักจะเป็นอย่างต่อเนื่อง แม้จะกินยาแก้ปวดก็ไม่ทุเลา

ต่อมาอีก 4-6 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้าวขวา ลักษณะปวดเสียดตลอดเวลา และจะเจ็บมากขึ้นเมื่อมีอาการขยับเขยื้อนตัว หรือเวลาเดิน หรือไอ จาม ต้องนอนนิ่งๆ บางรายถ้าเป็นมากต้องนอนงอขาและตะแคงไปข้างหนึ่ง หรือเวลาเดินต้องเดินตัวงอจึงจะรู้สึกสบายขึ้น บางรายอาจรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวหรือมีไข้ต่ำๆ   

ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบอาจไม่มีอาการตามแบบฉบับดังกล่าว อาจมีอาการปวดที่ท้องน้อยข้างขวาโดยไม่มีอาการอื่นนำ
มาก่อนเลยก็ได้

  • ในเด็กเล็กลักษณะอาการอาจไม่แน่นอนหรือชัดเจน แบบผู้ใหญ่ เช่น อาจกดเจ็บทั่วท้อง (ไม่จำกัดอยู่ตรงเฉพาะท้องน้อยข้างขวา) อาจมีไข้และปวดท้องโดยไม่มีอาการกดเจ็บชัดเจน เป็นต้น
  • ในผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ อาการปวดท้องอาจเป็นไม่รุนแรง และอาจมีอาการไม่ชัดเจน ทำให้ได้รับการรักษาล่าช้าจนเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

การป้องกัน ไส้ติ่งอักเสบ

  1. ไส้ติ่งอักเสบ ถือเป็นภาวะร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดฉุกเฉิน การรักษาทางยาไม่ว่ายากินหรือยาฉีด อาจระงับ อาการได้ชั่วคราว และถ้าปล่อยไว้จนไส้ติ่งแตก ก็จะทำให้เกิดความยุ่งยากในการรักษา อาจมีการติดเชื้อของแผลผ่าตัด เสียเงิน เสียเวลาอยู่
    โรงพยาบาล และเสี่ยงอันตรายมากขึ้น (มีอันตราตายร้อยละ 3 ในขณะที่ไส้ติ่งอักเสบที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนมีอัตราตายต่ำกว่าร้อยละ 0.1)
  2. อาการปวดท้องน้อยข้างขวา นอกจากไส้ติ่งอักเสบแล้ว ยังอาจมีสาเหตุอื่น เช่น นิ่วท่อไต ปีกมดลูกอักเสบ ปวดประจำเดือน ครรภ์นอกมดลูก เป็นต้น ซึ่งจะมีลักษณะอาการแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามให้ยึดหลักว่า หากมีอาการปวดท้องติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมง หรือขยับเขยื้อนตัวหรือเอามือกดแล้วรู้สึกเจ็บตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวา ไม่ว่าจะมีไข้หรือไม่ก็ตามควรสงสัยเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือภาวะร้ายแรงอื่น ๆ และต้องรีบไปพบแพทย์ที่อยู่ใกล้บ้านทันที อย่าคิดว่าเป็นเพียงอาการปวดท้องธรรมดา เช่น ปวดประจำเดือนซึ่งอาจเคยเป็นอยู่ประจำ
  3. ผู้ป่วยโรคนี้อาจมีอาการต่างๆ กันไปได้หลายแบบ มากกว่าครึ่งหนึ่งที่อาจไม่มีอาการปวดท้องรอบๆ สะดือนำมาก่อน บางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมกับท้องผูกหรือท้องเดินก็ได้ บางรายอาการปวดเจ็บท้องอาจอยู่นอกตำแหน่งท้องน้อยข้างขวา เนื่องจากไส้ติ่งอยู่ในตำแหน่งที่ผิดไปจากปกติ ถ้ารู้สึกปวดท้องอยากถ่ายบ่อยๆ แต่ถ่ายไม่ออกอย่านึกว่าเป็นอาการท้องผูกธรรมดา และห้ามทำการสวนอุจจาระหรือให้ยาระบาย เพราะอาจทำให้ไส้ติ่งแตกได้ ในระยะแรกผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดตรงใต้ลิ้นปี่หรือรอบ ๆ สะดือคล้ายอาการของโรคกระเพาะจึงควรเฝ้าสังเกต อาการอย่างใกล้ชิด หากกินยาแก้โรคกระเพาะแล้วไม่ทุเลา กลับปวดรุนแรงขึ้น หรือย้ายมาปวดตรงท้องน้อยข้างขวา ก็ควรนึกถึงไส้ติ่งอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีอาการปวดท้องต่อเนื่องเกิน 6 ชั่วโมง
  4.  ผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบมักมีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ ถ้าพบว่ามีไข้สูงอาจเกิดจากไส้ติ่งแตก หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ไทฟอยด์ ปีกมดลูกอักเสบ กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน 
  5. วิธีตรวจดูอาการไส้ติ่งอักเสบอย่างง่าย ๆ ก็คือการใช้นิ้วมือกดเบา ๆ ตรงท้องน้อยข้างขวา ถ้าพบว่ามีอาการเจ็บปวดตรงบริเวณนั้นมากก็พึงสงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ดังนั้น ควรใช้วิธีนี้ตรวจดูผู้ที่มีอาการปวดท้องหรือท้องเดินทุกราย

การรักษา ไส้ติ่งอักเสบ

 หากสงสัยควรรีบส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว ควรงดอาหารและน้ำดื่ม (ถ้ามีอาการขาดน้ำควรให้น้ำเกลือไประหว่างทางด้วย) เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัดฉุกเฉิน

แพทย์มักจะวินิจฉัยโรคนี้จากประวัติอาการ และการตรวจร่างกาย และมักทำการตรวจทางทวารหนักโดยผู้ตรวจสวมถุงมือ แล้วใช้นิ้วชี้สอดเข้าทวารหนักของผู้ป่วย หากปลายนิ้วแหย่ถูกปลายไส้ติ่งจะมีอาการเจ็บมาก ซึ่งเพิ่มน้ำหนักของการวินิจฉัย

ในรายที่ต้องการยืนยันให้แน่ชัด หรือสงสัยเกิดจากสาเหตุอื่น อาจต้องทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด (ในผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบจะพบว่ามีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ) ตรวจปัสสาวะ (หากตัวไส้ติ่งอยู่ใกล้ท่อไตหรือกระเพาะปัสสาวะอาจพบเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวมากกว่าปกติ) เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ (อาจพบไส้ติ่งที่อักเสบบวม หรือก้อนฝีรอบ ๆ ไส้ติ่ง) เป็นต้น

ถ้าเป็นโรคนี้จริงจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดไส้ติ่งออกทันที แพทย์จะฉีดยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังการผ่าตัด โดยเริ่มฉีดตั้งแต่ก่อนลงมือผ่าตัดผู้ป่วยต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 3-5 วัน และมักหายดีโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนแต่อย่างใด

[Total: 1 Average: 5]