โรควิตกกังวล คือ โรคที่พบได้บ่อยชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีภาวะวิตกกังวลมากเกินกว่า เหตุเกี่ยวกับปัญหาหรือเหตุการณ์ทั่วไปในชีวิตประจำวันพร้อมกันหลายเรื่อง โดยไม่มีสาเหตุจากการเจ็บป่วย อื่น ๆ หรือจากการใช้ยาหรือสารเสพติด และไม่พบว่า เกิดจากสาเหตุจำเพาะอันใดอันหนึ่ง อาการมักเป็นเรื้อรัง นานเกิน 6 เดือน และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ประจำวัน
โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย มักมีอาการเกิดขึ้นครั้ง แรกในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น พบได้ประมาณร้อยละ3-8 ของประชากรทั่วไปเมื่อ ติดตามในช่วง 1 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า
ยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวกับปัจจัยด้านชีวภาพร่วมกับปัจจัยด้านจิดใจและสังคม
ที่สำคัญ คือ ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกวิตกกังวลมาก เกินกว่าเหตุอยู่เกือบตลอดเวลาแทบทุกวัน ติดต่อกัน นานเกิน 6 เดือนโดยวิตกกังวลในปัญหาและเหตุการณ์ทั่วไปในชีวิตประจำวันพร้อมกันหลายเรื่องอย่างไร้เหตุผล และยากที่จะควบคุมไม่ให้กังวล เช่น กลัวสามีถูกทำร้าย ห่วงเรื่องการเรียนของลูก กลัวคนในบ้านจะได้รับอุบัติเหตุ กลัวว่าตนเองจะเจ็บป่วย กลัวว่าจะทำงานได้ไม่ดี เป็นต้น ผู้ป่วยจะไม่มีปัญหาร้ายแรงที่ทำให้คิดมากอันใดอันหนึ่งเป็นการเฉพาะ
ผู้ป่วยมักมีอาการนอนหลับยาก หรือนอนกระสับ กระส่ายไม่เต็มที่ อาจรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าง่าย อยู่ไม่สุข ตื่นเต้น หงุดหงิดง่าย ขาดสมาธิ รู้สึกสมองว่างเปล่า คิดไม่ออก กล้ามเนื้อตึงเครียด (ทำให้ปวดศีรษะ ปวดตา เจ็บหน้าอก ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว) มีอาการมือเท้าสั่น หรือสั่นทั้งตัว บางคน อาจมีอาการใจสั่น หายใจไม่อิ่ม รู้สึกมีก้อนจุกคอ เหงื่อออกง่าย มือเย็น ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ ท้องเสีย ปากแห้ง เวียนศีรษะ ร่วมด้วย อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ และจะรุนแรงในช่วงที่มีความเครียด
1.ถ้าผู้ป่วยมีอาการเข้าได้กับเกณฑ์การวินิจฉัยโรคนี้ โดยไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่น และมั่นใจว่าไม่มีโรคทางกาย ก็ให้การรักษาด้วยยากล่อมประสาท เช่น ไดอะซีแพม ขนาด 5-15 มก./วัน ควรให้ต่อเนื่อง นาน 6 -12 เดือน จะช่วยลดอาการวิตกกังวลและอาการต่าง ๆได้ดี ถ้ามีอาการใจสั่น มือสั่น ควรให้โพรพราโนลอล เริ่มให้ขนาด 60-80 มก./วัน แล้วค่อย ๆ เพิ่ม จนถึงขนาดเต็มที่ 240 มก./วัน ควรแบ่งให้วันละ 2-4 ครั้ง แต่ต้องระวังผลข้างเคียง คือ อาการซึมเศร้า ชีพจร เต้นช้า คลื่นไส้ถ้ามีภาวะซึมเศร้าหรือโรคแพนิก ร่วมด้วยก็ ให้การรักษาแบบโรคซึมเศร้า หรือโรคแพนิก
2.ควรส่งปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถ้าพบผู้ป่วย มีอาการข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
แพทย์จะมีการวินิจฉัยให้แน่ชัด ถ้าเป็นโรคกังวลทั่วไป ก็อาจปรับเปลี่ยนยาที่ใช้รักษาให้เหมาะสม และอาจต้องการให้การรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การทำจิตบำบัด ครอบครัวบำบัด พฤติกรรมบำบัด การฝึกการผ่อนคลาย เป็นต้น
ผลการรักษา มักจะได้ผลดี แต่ต้องกินยาต่อเนื่องอย่างน้อย 6 -12 เดือน หรือนานกว่านั้น หลังหยุดยา ประมาณร้อยละ 60-80 มีโอกาสกำเริบได้อีก