ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (hyperthyroidism) หมายถึง ภาวะที่ต่อมไทรอยด์มีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ มากเกินปกติ กระตุ้นให้อวัยวะทั่วร่างกายมีการเผาผลาญ (catabolism) สูงกว่าปกติ เกิดอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ขึ้นมา
อาการเจ็บป่วยที่เนื่องจากภาวะมีฮอร์โมนไทรอยด์ มากเกินดังกล่าว เรียกว่า ภาวะพิษจากไทรอยด์ (thyrotoxicosis) ซึ่งอาจเกิดจากภาวะต่อมไทรอยด์ทำงาน เกินหรือภาวะอื่น ๆ ก็ได้
ส่วนผู้ที่มีอาการคอพอก (ต่อมไทรอยด์โต) ซึ่งมีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์มากเกิน และเกิดภาวะพิษจากไทรอยด์ เรียกว่า คอพอกเป็นพิษ (toxic goiter)
ภาวะพิษจากไทรอยด์ เป็นความผิดปกติที่พบได้ บ่อยและพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 5-10 เท่า
ภาวะพิษจากไทรอยด์ มีสาเหตุที่พบบ่อย ดังนี้
เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณร้อยละ 60-80 ของผู้ที่มีภาวะเป็นพิษจากไทรอยด์ทั้งหมด) พบมากในคนอายะ 20-40 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 5-10 เท่า ผู้ป่วยมักมีต่อมไทรอยด์โตลักษณะแบบกระจาย (diffuse toxic goiter) และมักมีอาการตาโปนร่วมด้วย โรคนี้จัดเป็นโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune disease) ชนิดหนึ่ง ซึ่งพบมีการสร้างสารภูมิต้านทานต่อไทรอยด์ (thyroid antibody) ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญได้แก่ thyroid stimulating immunoglobulin) (TSI) ซึ่งจะไปจับกับ ตัวรับฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์ (TSH) ที่ต่อมไทรรอยด์ กระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนออกมาโดยอยู่นอก เหนือการควบคุมของต่อมใต้สมอง ทำให้มีฮอร์โมนไทรอยด์มากเกิน จนเกิดภาวะพิษจากไทรอยด์
สาเหตุของการเกิดโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางเพศ (พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย) และกรรมพันธุ์ (พบว่ามีประวัติพ่อแม่พี่น้อง เป็นโรคนี้ด้วย) นอกจากนี้ยังพบว่า ความเครียดมีส่วนกระตุ้นให้โรคกำเริบ
โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง บางรายอาจมีระยะสงบ (หายจากอาการเจ็บป่วย) แต่ก็อาจกำเริบได้ใหม่
ผู้ที่เป็นโรคเกรฟส์ พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิต้านตนเองอื่น ๆ เช่น ไมแอสทีเนีย เกรวิส เบาหวาน ชนิดที่ 1 โรคแอดดิสัน ผมร่วงเป็นหย่อม ภาวะอัมพาตครั้งคราวจากโพแทสเซียมในเลือดต่ำ เป็นต้น
(toxic multi Nodular goiter) ซึ่งมีชื่อรียกว่าโรคพลัมเมอร์ (Plummer’sdisease) เป็นภาวะที่มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี ผู้ป่วยจะมีอาการคอพอกลักษณะโตเป็นปุ่มหลายปุ่ม มีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์โดยอยู่นอกเหนือการควบคุมของต่อมใต้สมอง
(toxic thyroid adebina) เป็นภาวะที่พบได้น้อยกว่า 2 ชนิดดังกล่าว ต่อมไทรอยด์ มีลักษณะโตเป็นก้อนเนื้องอกเดี่ยว ขนาดมากว่า 2.5 ซม.ซึ่งมีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์โดยอยู่นอกเหนือการควบคุมของต่อมใต้สมอง
ซึ่งเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ในระยะแรกเนื้อเยื่อที่อักเสบจะมีการปล่อยฮอร์โมนไทรอยด์ที่สะสมอยู่ในต่อมไทรอยด์ (ในปริมาณที่สร้างตามปกติ) ออกมาในกระแสเลือดมากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดภาวะพิษจากไทรอยด์ขึ้นมา ส่วนใหญ่มักจะเป็นอยู่ชั่วระยะหนึ่ง หลังจากนั้นอาจมีภาวะขาดไทรอยด์ อย่างถาวรตามมา
5.สาเหตุอื่น ๆ ที่พบได้น้อย เช่น
ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ มือสั่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาทำงานละเอียด เช่น เขียนหนังสือ งานฝีมือ) ใจหวิว ใจสั่น อาจมีอาการเจ็บหน้าอก
มักจะมีความรู้สึกขี้ร้อน คือ ชอบอากาศเย็นมากกว่าอากาศร้อน เหงื่อออกง่าย ฝ่ามือมีเหงื่อชุ่มตลอดเวลา
น้ำหนักตัวจะลดลงรวดเร็ว โดยที่ผู้ป่วยกินได้ปกติ หรืออาจกินจุขึ้นกว่าเดิมด้วยน้ำ ทั้งนี้เพราะร่างกายมีการ เผาพลาญอาหารมาก
(บางคนอาจกินมากขึ้นจนน้ำหนักไม่ลดหรือกลับมากขึ้นก็ได้)
ผู้ป่วยมักมีลักษณะอยู่ไม่สุข ชอบทำโน่นทำนี่ บางทีดูเป็นคนขี้ตื่น หรือท่าทางหลุกหลิก หรืออาจมีอาการ หงุดหงิด โมโหง่าย นอนไม่หลับ หรืออารมณ์ซึมเศร้า
บางรายอาจมีอาการถ่ายเหลวบ่อยคล้ายท้องเดิน หรือคลื่นไส้ อาเจียน
บางรายอาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง แขนขา ไม่มีแรง กลืนลำบาก หรือมีภาวะอัมพาตครั้งคราวจาก โพแทสเซียมในเลือดต่ำ
ผู้หญิงบางรายอาจมีประจำเดือนน้อย หรือไม่ สม่ำเสมอ หรือขาดประจำเดือน
1. โรคนี้อาจมีอาการแสดงได้ต่าง ๆโดยเฉพาะ อย่างยิ่งบางครั้งอาจมีอาการคล้ายโรควิตกกังวล หรือโรคแพนิก ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยที่มีอาการอ่อน เพลีย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด ใจสั่น มือสั่น หงุดหงิด นอนไม่หลับ ควรตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อนว่ามีสาเหตุจากโรคนี้หรือไม่
2. โรคนี้มีทางรักษาได้ แต่อาจต้องกินยาเป็นปี ๆ ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์อย่าได้ขาด
3. ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาต้านไทรอยด์ การกินสาร กัมมันตรังสีหรือการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ควรเฝ้าสังเกต อาการของการเกิดภาวะขาดไทรอยด์ (เช่น บวม เฉื่อยเนือย ขี้หนาว) และตรวจดูระดับฮอร์โมนไทรอยด์เป็นระยะ หากพบภาวะดังกล่าวควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
หากสงสัย ควรส่งโรงพยาบาลภายใน 1 สัปดาห์
มักจะวินิจฉัยโดยการเจาะเลือดตรวจการทำงานของไทรอยด์ (จะพบค่า T4, free T4, T3 และ free T3) สูงกว่าปกติ และค่า TSH ต่ำกว่าปกติ) ตรวจหาสารภูมิ ต้านทานต่อไทรอยด์ (thyroid antibody) อาจต้องทำสแกนต่อมไทรอยด์ (thyroid scan) ตรวจคลื่นหัวใจ เอกซเรย์ปอด และอาจตรวจพิเศษอื่น ๆ ถ้าจำเป็น
การรักษา โดยทั่วไปมักจะให้การรักษาด้วยยาเป็นหลักโดยการให้ยาต้านไทรอยด์ (antithyroid drug) ซึ่งจะกดการทำงานของต่อมไทรอยด์ ที่ใช้บ่อย คือ เมทิมาโซล (methimazole) ขนาดเม็ดละ 5 มก.หรือ โพรพิลไทโอยูราซิล (propylthiouracil) ขนาดเม็ดละ 50 มก.ยาทั้ง 2 ตัวนี้มีผลดีและผลเสียไม่ต่างกันและมี วิธีใช้เหมือนกัน คือ เริ่มต้นให้ผู้ป่วยกินวันละ 6 เม็ด (2 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร) จนกว่าอาการจะดีขึ้น (น้ำหนัก กลับขึ้นเป็นปกติ เหนื่อยน้อยลง ชีพจรเต้นช้าลง) จึงค่อย ๆ ลดยาลงทีละ 1-2 เม็ดจนกว่าจะเหลือวันละ 1-3 เม็ด แล้วให้กินขนาดนี้ไปเรื่อย ๆ นานประมาณ 18-24 เดือน แล้วลองหยุดยา (หญิงตั้งครรภ์ห้ามใช้เมทิมาโซล แต่ให้ใช้โพรพิลไทโอยูราซิลแทน เพรายาชนิดหลังนี้ ผ่านรกได้น้อย จึงมีผลต่อทารกในครรภ์น้อยกว่ายาชนิด แรก และไม่มีข้อห้ามในการใช้สำหรับมารดาที่ให้นม บุตร แต่ควรทำการทดสอบการทำงานของต่อมไทรอยด์ ของทารกเป็นระยะ ๆ )
ระหว่างการรักษาควรเจาะเลือดตรวจดูระดับของ ฮอร์โมนไทร็อกซีนเป็นระยะ ๆ
ผลการรักษา ส่วนมากมักจะหายขาด แต่ส่วนน้อยอาจมีอาการกำเริบใหม่ ก็ควรจะให้ยารักษาใหม่อีก
บางรายอาจกินยาวันละเม็ดควบคุมอาการไปเรื่อย ๆ
นอกจากยาต้านไทรอยด์แล้วอาจต้องให้ไดอะซีแพม บรรเทาอาการหงุดหงิด นอนไม่หลับ ยาปิดกั้นบีตา เช่น โพรพาโนลอล วันละ 40-120 มก.แบ่งให้วันละ 2-4 ครั้งเพื่อควบคุมอาการใจสั่น มือสั่น
ส่วนยาต้านไทรอยด์ อาจมีผลข้างเคียงดังนี้
นอกจากรักษาด้วยยาแล้ว แพทย์อาจพิจารณา ให้การรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทรอยด์หรือสานไอโอดีน กัมมันตรังสี (radioactive iodine/I131)โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ไม่ตอบสนองต่อยาต้านไทรอยด์ มีอาการกำเริบซ้ำบ่อยมีความไม่สะดวกในการใช้ยาอย่าง ต่อเนื่อง หรือแพ้ รวมทั้งในรายที่มีอาการรุนแรงมาก
การผ่าตัด มักใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี หรือต่อมไทรอยด์โตมาก หรือกดอวัยวะข้างเคียง เป็นเนื้องอกไทรอยด์หรือต่อมไทรอยด์เป็นก้อนเดียว ซึ่งสงสัยว่าอาจเป็นมะเร็ง
ภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัด ที่สำคัญได้แก่ ภาวะเลือดออก ซึ่งอาจอุดกั้นทางเดินหายใจ ภาวะขาดพาราไทรอยด์ (hypoparathyroidism) เนื่องจากตัดถูกต่อมพาราไทรอยด์ซึ่งอยู่ติดกับต่อมไทรอยด์ การตัดถูกเส้นประสาทกล่องเสียง (recurrent laryngeal nerve) ทำให้สายเสียงเป็นอัมพาต มีอาการเสียงแหบอยางถาวร
ในรายที่ผ่าตัดเนื้อเยื่อไทรอยด์ออกน้อยไป ก็อาจมีอาการต่อต่อมไทรอยด์ทำงานเกินกำเริบซ้ำได้อีก
ที่พบบ่อย ก็คือ ภาวะขาดไทรอยด์ อย่างถาวร เนื่องจากผ่าตัดเนื้อเยื่อไทรอยด์ออกมากเกิน ซึ่งจำเป็นต้องให้ฮอร์โมนไทรอยด์เลโวไทร็อกซีน (มีชื่อทางการค้า เช่น เอลทร็อกซิน) วันละ 1-2 เม็ด ทดแทน ตลอดชีวิต
ส่วนการรักษาด้วยการกินสารไอโอดีนกัมมันตรังสี นั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายเนื้อเยื่อไทรอยด์บางส่วน ซึ่งจะช่วยลดปริมาณฮอร์โมนที่หลั่งลงไป มักใช้สำหรับ ผู้ป่วยอายุมากกว่า 40 ปี ที่ปฏิเสธการผ่าตัดหรือมีภาวะ แทรกซ้อนที่เป็นข้อห้ามสำหรับการผ่าตัด (เช่น โรคหลอด เลือดหัวใจตีบ) ก่อนให้สารรังสีดังกล่าว จำเป็นต้องให้ ยาต้านไทรอยด์จนระดับฮอร์โมนไทรอยด์ กลับสู่ปกติ เสียก่อน และมีข้อห้ามในการรักษาโดยวิธีนี้ในหญิงตั้งครรภ์ หญิงที่ให้นมบุตร ผู้ป่วยที่มีอาการตาโปนรุนแรง ต่อมไทรอยด์มีขนาดโตมาก หรือสงสัยเป็นมะเร็งไทรอยด์
ผลข้างเคียงของการรักษาด้วยสารรังสี ที่พบบ่อย ก็คือภาวะขาดไทรอยด์เนื่องจากเนื้อเยื่อไทรอยด์ถูกทำลายมากเกิน ซึ่งจำเป็นต้องให้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน เช่นเดียวกับการรักษาด้วยการผ่าตัด